สมกับคำกล่าวของนักวิชาการชื่อดังท่านหนึ่ง ที่ว่า “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” ของการเมืองไทยในทศวรรษปัจจุบัน เวลาที่ผ่านมาไม่กี่ปี ก็เป็นเรื่องของการแตกแยกภายในพรรคพลังประชารัฐ เริ่มต้นด้วยการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกือบถูก ส.ส.ลูกพรรคลงมติโค่นกลางสภา

ความแตกแยกทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อนายกรัฐมนตรีสั่งปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามด้วยผู้กองธรรมนัสนำ 21 ส.ส. ให้ถูกขับออกจากพรรค ส่วนใหญ่ไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เผลอไม่เชิญแกนนำ ส.ส.พรรคเล็กร่วมงานปาร์ตี้ กลายเป็นมูลเหตุ

นำไปสู่การเล่นเกมการเมือง ร.อ.ธรรมนัส ฉวยโอกาสเชิญบรรดาแกนนำพรรคเล็กที่เรียกกันว่า “กลุ่ม 16” กินข้าวกลางวัน และปรึกษาหารือปัญหาการเมือง ถูก พล.อ.ประยุทธ์ตอบโต้ ด้วยการเชิญแกนนำพรรคเล็ก ร่วมรับประทานอาหารในวันที่ 17 มีนาคม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องสำคัญที่จะหารือ

ผู้นำพรรคเล็กคนหนึ่งเปิดเผยว่า ต้องการเสนอเรื่องกฎหมายบำนาญผู้สูงอายุ ซึ่งยังเข้าสู่สภาไม่ได้ อาจเนื่องจากเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน ต้องผ่านความเห็นชอบนายกรัฐมนตรีก่อน แต่เรื่องที่พรรคเล็กส่วนใหญ่ต้องการมากที่สุดคือ การแก้ไข พ.ร.บ.การเลือกตั้ง เพื่อคงไว้ซึ่งสูตรคำนวณ ส.ส.แบบ ส.ส.ปัดเศษ

ร่างกฎหมายบำนาญผู้สูงอายุ แม้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่ขณะนี้กลายเป็นประเด็นการหาเสียงของพรรคการเมืองเป็นหลัก เป็นนโยบายของพรรคใหม่ที่ยังไม่มี ส.ส.ในสภา ส่วนการแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้ง เพื่อคงไว้ซึ่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่ใช้เลข 500 เป็นตัวหาร เป็นผลประโยชน์พรรคเล็กโดยแท้

การแตกแยกและการเล่นเกมการเมือง หรือการเถียงกันเรื่องสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ล้วนแต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองและพรรคการเมือง โดยไม่ให้ความสนใจในปัญหา และวิกฤติที่สำคัญๆของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโควิด ที่รัฐบาลกำลังจะทำให้เป็นโรคประจำถิ่น หรือวิกฤติเศรษฐกิจ

...

ปัญหาเศรษฐกิจที่พรรคการเมือง ควรสนใจ และหามาตรการแก้ไขได้แก่ปัญหา หนี้ล้นพ้นตัว ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ปัญหาข้าวยากหมากแพง ปัญหาเงินเฟ้อ การว่างงาน ราคาน้ำมันแพง ที่ถูกซ้ำเติมด้วยการบุกยูเครนของรัสเซีย อาจจะทำให้ทั่วโลกได้เห็นราคาน้ำมันดิบบาร์เรลละ 300 ดอลลาร์ เป็นครั้งแรก.