เป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มที่คิดแก้ ม.112-ปฏิรูปสถาบัน ภายใต้หลักการพิทักษ์ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) บอกน้ำเสียงเข้มขลัง ถึงจุดยืนของพรรค

โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้า พปชร. และรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง อันดับแรกท่านให้ความสำคัญมิติความมั่นคงของสถาบัน

พปชร.มีหน้าที่ปกป้องสถาบัน เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถึงการจัดชุมนุมเสนอปฏิรูปสถาบัน เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองฯ สถานการณ์ก็ดีขึ้น

หน่วยงานรัฐ-งานบังคับใช้กฎหมายก็ทำงานได้

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคลี่ไส้ในดู เหมือนปรามพรรคการเมืองห้ามนำประเด็นปฏิรูปสถาบัน การแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 บรรจุเป็นนโยบายรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

และร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายพริษฐ์ วัชรสินธุ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 135,247 คน เป็นผู้เสนอ หรือฉบับ “ล้ม ส.ว. ปักหมุดสภาเดี่ยว-โละศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ-เลิกยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ-ล้างมรดกรัฐประหาร” เพิ่งถูกที่ประชุมร่วมรัฐสภา ตีตกขั้นรับหลักการวาระ 1 ร่างรัฐธรรมนูญ

...

ผู้เสนอเตรียมขับเคลื่อนนอกสภาต่อและพรรคก้าวไกลจะปรับเป็นนโยบายรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นายไพบูลย์ บอกว่า ขอเริ่มที่การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่ง พปชร.แสดงออกถึงความเป็นเอกภาพ ส.ส.ทุกท่านลงคะแนนไม่รับหลักการ

ร่างรัฐธรรมนูญถูกตีตกเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก่อนหน้านั้นมี ส.ส.เสนอเข้ามาก็ถูกตีตกนับ 10 ฉบับ ผู้เสนอคงมีเจตนาแค่อภิปรายในสภา แล้วนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สภาตีตกไปรณรงค์หาเสียง เพื่อประโยชน์ของการเลือกตั้ง ซึ่งจะนำไปเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไรก็สุดแล้วแต่

“ตอนนี้การเคลื่อนไหวนอกสภาที่อยู่ตามท้องถนน เข้าข่ายผิดกฎหมาย ไม่ยั่งยืน ผู้ทำผิดกฎหมายต้องถูกดำเนินคดี

แต่การดำเนินการตามกฎหมายมันไม่ทันใจฝ่ายที่อยากเห็นความเรียบร้อย ซึ่งต้องใช้เวลา ยืนยันทุกคนที่ทำผิดกฎหมาย ผมไม่เคยเห็น พ้นเงื้อมมือกฎหมายไปได้

สุดท้ายถูกดำเนินคดี ต้องรับโทษถึงขั้นจำคุก

หลังจากนั้นพอเวลาผ่านไป 5-10 ปี ก็ออกมากลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นบุคคลที่สังคมลืม เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่มีผลอะไร ประเทศและสังคมก็เดินหน้าไป

ถ้าถูกกล่าวถึงก็เป็นบุคคลที่ไม่ประสบผลสำเร็จในการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่มีปัญหาทางกฎหมายตามมาเยอะ ฉะนั้นต้องเคารพกฎหมาย ใครทำผิดกฎหมายย่อมถูกลงโทษตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม”

บ้านเมืองถึงอยู่ได้จำเป็นอย่างยิ่งต้องอยู่อย่างสงบเรียบร้อย ประชาชนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ใช่ก้าวล่วงถึงสถาบัน ซึ่งเป็นความมั่นคงของชาติ

ยิ่งก้าวล่วงก็ถูกดำเนินคดีกันไป

ขณะที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลชัดเจนเกิดขึ้นว่า การกระทำที่จาบจ้วงอยู่ก่อนหน้านั้นพยายามอ้างเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

คำวินิจฉัยดังกล่าวชัดแจ้ง การใช้สิทธิเสรีภาพในเรื่องนี้ทำไม่ได้ ไปละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ขัดหลักภราดรภาพ มีผลเสียต่อสถาบันชาติ

เป็นสิ่งต้องห้าม กระทำไม่ได้

ถ้าผู้ใดไปดำเนินการในลักษณะดังกล่าว ก็ทำไม่ได้อีกต่อไป ฝืนทำก็ผิดกฎหมาย เป็นไปตามกลไกกฎหมายและระบอบการปกครองของประเทศไทย

“ฝ่ายตัวเองอ้างการปฏิรูป คำวินิจฉัยชัดแจ้งว่าไม่ใช่ เพียงแค่เจ้าตัวพยายามพูดถึงการปฏิรูป ความจริงมีเจตนาเป็นบ่อนเซาะ บ่อนทำลาย

ผมพอใจต่อผลดังกล่าว ทำให้สังคม กลไกหรือหน่วยงานของรัฐมีบรรทัดฐานในการวินิจฉัย เชื่อว่าเรื่องนี้จะดีขึ้น ผู้ชุมนุมลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ ยิ่งใช้ความรุนแรง จำนวนผู้ชุมนุมยิ่งน้อย และถูกดำเนินคดีมากขึ้น

สุดท้ายกลายเป็นกลุ่มก่อกวน ย่อมเจอปัญหาคดีความตามมา ในฐานะเป็นรุ่นพี่มาหลายรุ่น ผมเหนื่อยแทน ไม่ประสบผลสำเร็จ บางคนอยากมีชื่อเสียงจึงเลือกวิธีแบบนี้ ไม่คุ้ม มีแต่เสียหาย”

ฉะนั้นใครหรือพรรคการเมืองใดกระทำในลักษณะดังกล่าว ล่อแหลมต่อการที่จะมีผู้ร้องไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรืออาจจะเป็น กกต.เห็นเอง ดำเนินการในฐานะทำผิด พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 92 (1) (2)

โดยระบุว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอันล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อันหลังนี้ชัดเจน พรรคการเมืองใดทำก็เข้าข่าย ยิ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาล่าสุด

ฉะนั้นพรรคการเมืองอย่าเสี่ยง มีสิทธิถูกร้องยุบพรรคได้

อีกมุมมองของสังคมสะท้อนถึงระบอบประยุทธ์ยังแข็งแกร่ง ต้องใช้เวลาถึงปรับโครงสร้างการเมืองประเทศไทยได้ เพราะร่างรัฐธรรมนูญถูกสภาตีตกและผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายไพบูลย์บอกว่า ผมไม่เห็นมีระบอบประยุทธ์ ไม่มีระบอบทักษิณ

มีเฉพาะระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปัญหาคือมีคนพยายามบั่นทอน บั่นเซาะทำลายชาติ ทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

ทำไม่ได้ ไม่สำเร็จ เพราะสังคมไทยมีรูปแบบหรือวิถีแบบไทย มันจะมีปัญหาอะไรเราก็อยู่ได้และไปของเราได้ ภายใต้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ใครที่ไม่ชอบรูปแบบนี้ ชอบรูปแบบการปกครองของประเทศนั้นประเทศนี้ มันไม่ยาก ท่านก็เดินทางไปอยู่ประเทศนั้น คิดกันอยู่ไม่กี่คนจะมาเปลี่ยนความคิดประชาชนอีกหลาย 10 ล้านคน ไม่มีใครเอาด้วยหรอก

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯมาจากการเลือกในสภา มีวาระดำรงตำแหน่ง เดี๋ยว ก็พ้นไปตามวาระ และเลือกตั้งใหม่ตามระบอบประชาธิปไตย กลับมาเป็นนายกฯได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับประชาชน

แต่การสร้างวาทกรรมปลุกปั่น ชุมนุมใช้ความรุนแรง เราคนไทยด้วยกันทุกคน อย่าแบ่งแยกโดยใช้วาทกรรม แบบนี้เป็นประชา ธิปไตยตรงไหน

เป็นแค่พวกที่ต้องการแสวงหาอำนาจทางการเมือง หาเสียง เป็นประชาธิปไตยจริงต้องรอสู้ในสนามเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนทั้งแผ่นดินตัดสิน”

ผลสำรวจโพลหลายสำนักที่ทยอยออกมาตลอดปี พปชร.หวั่นไหวอย่างไรต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป นายไพบูลย์ บอกว่า ผลโพลเป็นการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ใช้ประกอบความเห็นได้ แต่ยังไม่สามารถตัดสินได้

การมีนโยบายเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งมั่นทำงานช่วยเหลือ ดูแลทุกข์สุขให้ประชาชน ที่ไหนมีปัญหา หัวหน้า พปชร.ออกไปแก้ปัญหาในพื้นที่ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ต้องทำ เราไม่ได้หวั่นไหวต่อผลสำรวจโพล

สุดท้ายรอชี้ขาดในวันเลือกตั้ง

อย่าลืมว่า พปชร.เป็นแกนนำรัฐบาล เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความเดือดร้อนของประชาชน รับฟังปัญหาความเดือดร้อนทุกเรื่อง

และดำเนินการแก้ไขทุกเรื่อง ทั้งการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ปัญหาภัยพิบัติต่างๆ

แต่การละเมิด จาบจ้วง ทำร้ายสถาบันชาติ มันรับฟังไม่ได้ ก็อยากให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย

เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็นบ้านเมืองสงบเรียบร้อย

ไม่ใช่มีม็อบชุมนุมอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นอย่าทำ ต้องหยุด.

ทีมการเมือง