กลับมาอีกครั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ฉบับประชาชน” หลังจากที่ฉบับก่อน คว่ำกลางสภา ร่างใหม่กลับมาพร้อมกับบัญชีรายชื่อผู้เสนอ 1-3 แสนคน มุ่งปฏิรูปองค์กรตามรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ ปฏิรูปองค์กรอิสระ รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ คุณสมบัติที่สำคัญขององค์กรอิสระ จะต้องไม่ฝักใฝ่เผด็จการ รวมทั้งปฏิรูปรัฐสภา

การปฏิรูปรัฐสภาที่สำคัญ ได้แก่การยกเลิกวุฒิสภา ให้เหลือเพียงสภาผู้แทนราษฎรสภาเดียว และให้นายกรัฐมนตรีมาจาก ส.ส. อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี จึงเป็นของ ส.ส.แต่เพียงฝ่ายเดียว ส่วนบุคลากรหรือกรรมการองค์กรอิสระจะต้องผ่านคณะกรรมการสรรหา และได้รับความเห็นชอบจาก ส.ส. ถึง 2 ใน 3 ของสภา

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจถือได้ว่า “ก้าวหน้า” ที่สุด มีบทบัญญัติให้ถอดถอนตุลาการระดับสูง เช่น ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นต้น ถ้าถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ผู้มีอำนาจถอดถอนได้แก่ ส.ส. 3 ใน 5 หรือ 300 เสียง

ความก้าวหน้าอีกด้านหนึ่ง คือบทบัญญัติที่ระบุว่า ประชาชนมีสิทธิต่อต้านรัฐประหาร ห้ามศาลพิพากษารับรองความสำเร็จสมบูรณ์ของรัฐประหาร ห้ามรับรองสถานะทางกฎหมายให้แก่คณะรัฐประหาร เช่นในอดีต หลังจากคณะรัฐประหารยึดอำนาจสำเร็จ ศาลถือว่าคณะรัฐประหารเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” มีอำนาจปกครองประเทศ

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประชาชน มุ่งปฏิรูปองค์กรอิสระครั้งใหญ่ เพราะในระยะหลังๆองค์กรอิสระมีปัญหาความน่าเชื่อถือ ถูกมองว่าขาดความอิสระ ขาดความกล้าหาญทางการเมือง ที่จะวินิจฉัยกรณีต่างๆอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจาก “ที่มา” ที่เปิดช่องให้ถูกอำนาจแทรกแซง

แม้หลายประเด็นจะก้าวหน้า เช่นที่มาขององค์กรอิสระ หรือบทบัญญัติต่อต้านรัฐประหาร การสร้าง “จารีตประเพณี ใหม่” ให้ถือว่าหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับโดยตลอด แม้รัฐธรรมนูญจะสิ้นผลไป แม้รัฐธรรมนูญจะฉีกทิ้ง แต่ถือว่ายังมีผลใช้บังคับตลอดไป ส่วนการกระทำหรือคำสั่งคณะรัฐประหาร “เป็นโมฆะเสียเปล่า”

...

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง การปกครองของประเทศไทย เป็นระบอบ “อภิชนาธิปไตย” ปกครองโดยกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญและกฎหมาย นึกจะฉีกทิ้งก็ฉีกทิ้งได้ นึกจะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ก็สั่งได้ แต่ห้ามกลุ่มที่เห็นต่างแก้ไข แค่จะแก้ไขมีเรื่องการยกเลิก ส.ว. ก็น่าเป็นห่วงเสียแล้วว่าจะไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่.