การชุมนุมเมื่อวันที่ 15 และ 16 ที่ผ่านมา ไม่ใช่การชุมนุมที่เป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามที่คณะผู้จัดการชุมนุมและผู้รักสันติวิธีมุ่งหวัง จึงเป็นการชุมนุมที่จบลงด้วยแก๊สน้ำตา การเผาป้อมตำรวจ และการยิงด้วยกระสุนยาง เหตุเกิดที่เก่าเวลาเดิม นั่นก็คือสามเหลี่ยมดินแดง จุดยุทธศาสตร์ใหม่ของการชุมนุม
เป็นการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามความมุ่งหวังของผู้ที่ต้องการเห็นการชุมนุมที่เป็นไปโดยสงบ หลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลง นายสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ ของวุฒิสภาประกาศว่า กมธ.จะตรวจสอบทุกกรณีที่เกี่ยวกับความรุนแรง ทั้งฝ่ายตำรวจและผู้ชุมนุม เพื่อให้การตรวจสอบตรงไปตรงมา
ถ้ามุ่งหวังจะให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและระบอบประชาธิปไตย กมธ.วุฒิสภาน่าจะตรวจสอบในเชิงลึก ให้ถึงต้นตอของความรุนแรง เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไข โดยร่วมกับองค์กรอื่นๆ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และสันติวิธี ในนามคณะกรรมการอิสระ
ทุกฝ่ายต้องยอมรับว่า ขณะนี้รัฐบาลกับตำรวจยึด พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นหลักในการควบคุมการชุมนุม โดยไม่สนใจบทบัญญัติว่าด้วยเสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ พอการชุมนุมเริ่มต้นขึ้น ก็สลายการชุมนุมในทันที ทั้งด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ทำให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บ จึงตอบโต้กลายเป็นความรุนแรง
ตำรวจอ้างว่าปฏิบัติตามกฎหมาย และกติกาสากล น่าสงสัยว่าเป็นการใช้กฎหมายที่ถูกต้องหรือไม่ ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่ เพราะกติกาสากลระบุว่าถ้าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ห้ามสลายการชุมนุม แต่ตำรวจไทยใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางเป็นอาจิณ
การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอาจไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะเป็นกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย เมื่อเร็วๆนี้ศาลแพ่งมีคำสั่งว่าข้อกำหนดฉบับที่ 29 ที่นายกรัฐมนตรีประกาศใช้ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นการลิดรอนเสรีภาพในการเสนอข่าว และการแสดงความเห็นประชาชน จึงสั่งคุ้มครองชั่วคราว
...
คณะกรรมการอิสระควรตรวจ สอบด้วยว่า เสรีภาพในการชุมนุมโดยการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 44 คุ้มครองเสรีภาพประชาชนมากน้อยแค่ไหน? รัฐธรรมนูญกับ พ.ร.ก.ใครใหญ่กว่าใคร และควรตรวจสอบด้วยว่าทำไมตำรวจไม่ชอบใช้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ที่สำคัญที่สุดจะปลูกฝังวัฒนธรรมอันดีได้อย่างไร?