พอได้ยินว่าจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้บุคลากรสู้ภัยโควิด กระแสคัดค้านก็พรั่งพรูกระหึ่มโลกโซเชียล ถล่มเละนักการเมืองฝ่ายบริหารเอาบุคลากรทางการแพทย์มาบังหน้า หาทาง เอาตัวรอด ไม่ต้องรับผิดจากการบริหารจัดการแก้ปัญหาการระบาดของ โรคโควิด-19 ที่จนถึงตอนนี้ไทยมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 8 แสนคนแล้ว และแต่ละวันยังมีผู้ติดเชื้อ 2 หมื่นคน เสียชีวิต 2 ร้อยราย

จากข่าวที่เผยแพร่ตามสื่อ ร่าง พ.ร.ก.จำกัดความผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะยกเว้นความรับผิดตามกฎหมายทั้งทางแพ่ง อาญา วินัย และทางละเมิด ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสถานพยาบาล ยกเว้นว่าการกระทำนั้นเป็นไปโดยไม่สุจริต ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ประกาศกำหนดให้โรคโควิดเป็นโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ (เดือน ก.พ.63)

คุณอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กฎหมายฉบับนี้ยังเป็นแค่ร่าง และเหลืออีกหลายขั้นตอนกว่าจะได้ใช้ ต้องฟังเสียงอีกหลายฝ่าย ส่วนที่กังวลว่าฝ่ายการเมือง หมกเม็ดนิรโทษกรรมตัวเองนั้น อันที่จริงกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เกิดจากฝ่ายการเมืองเสนอขึ้นมา เจตนาของกฎหมายคือคุ้มครองคนทำงาน ที่ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สิ่งที่ทำให้คนทำงานกลัวเพราะเขาต้องเผชิญกับโรคอุบัติใหม่ ทั้งส่วนการรักษา การควบคุมโรค การดูแลทรัพยากรต่างๆ ในการรับมือกับโรคนี้ไม่มีสูตรตายตัว ทุกอย่างใหม่หมด คนทำงานไม่ว่าจะเป็นใคร ระดับไหน ก็มีความกังวลใจทั้งนั้น

“ขอถามว่าเวลาจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ เป็นเรื่องของใคร คำตอบคือองค์การเภสัชกรรม ส่วนเรื่องจัดหาวัคซีนก็เป็นเรื่องของบอร์ด ซึ่งข้างในมีสถาบันวัคซีน กรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม และฝ่ายผู้ผลิตฝ่ายนโยบายไม่เข้าไปแทรกแซงอยู่แล้ว คนที่ดูแลในแต่ละขั้นตอนก็ชื่อขึ้นต้นด้วยนายแพทย์กันเกือบหมด คนกลุ่มนี้เขาต้องมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ ทุกท่านตั้งใจทำให้มันดี แต่ก็มีความกังวลในการทำงาน ก็ต้องหาอะไรมาปกป้องคนทำงานบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วใครจะกล้า ทำงานให้ประเทศชาติ เรื่องนี้ทางผู้บังคับบัญชา ท่านปลัดฯท่านเข้าใจ ก็ผลักดันกฎหมายฉบับนี้ออกมา ส่วนตัวก็รับพิจารณา เพราะคนที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ รอบคอบ เพื่อให้การจัดการโรคมีประสิทธิภาพ ต้องได้รับการปกป้อง ในฐานะที่เป็นเจ้ากระทรวง เมื่อคนทำงานรู้สึกว่าเสี่ยง มันก็ต้องหาทางออก”

...

ผมเห็นด้วยว่าหลักการของกฎหมายนี้ถือเป็นประโยชน์สาธารณะ โควิดเป็นโรคอุบัติใหม่ การรับมือเชื้อร้ายนี้ก็ต้องเรียนผิดเรียนถูกกันใหม่หมด ทั่วทั้งโลกประสบแบบเดียวกัน ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ ฉะนั้น ถ้าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ย่อมสมควรได้รับความคุ้มครองบรรดาแพทย์ใหญ่ที่เข้ามาช่วยงานในคณะกรรมการชุดต่างๆ หรือทีมวิชาการ มีมากมายเป็นร้อยคน หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลเอกชนที่จะเริ่มฉีดวัคซีนทางเลือกในไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็ต้องการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเช่นกัน

ปมแห่งความระแวงอยู่ที่บุคลากรสาธารณสุขประเภทที่ 7 “บุคคล/คณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายจากหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการจัดหาหรือบริหารวัคซีน” กระแสสังคมกังวลว่าจะมีการเขียนกฎหมายให้ครอบคลุมไปถึงฝ่ายการเมือง ตั้งแต่รัฐมนตรีไปจนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯซิงเกิลคอมมานด์ ที่รวบอำนาจสั่งการแก้ปัญหาโควิดไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะในชั้นเสนอเข้า ครม. กลัวโดนเนติบริกรเล่นแร่แปรธาตุเอาได้

ถ้าปลายทางเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฟันธงได้เลยรัฐบาลล้มทันที.

ลมกรด