กลุ่มคาร์ม็อบกลุ่มธรรมศาสตร์คึก รวมตัวแยกราชประสงค์ ลุยอ่านแถลงการณ์โปรยใบปลิวหน้าตึกซิโน-ไทย เรียกร้องให้ถอนตัวจากรัฐบาล ต่อด้วยไปหน้าบริษัท “ธรรมนัส” ถนนอโศก-ดินแดง จนเกิดมีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นจนวงแตก รีบเดินทางต่อไปยังสาดสีใส่ป้ายบริษัท คิง เพาเวอร์ ก่อนประกาศยุติชุมนุม แต่กลุ่มม็อบวัยรุ่นขี่รถ จยย. แบ่งไปลุยกับตำรวจบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง เกิดจลาจลเผาป้อมยามใต้ทางด่วนวอด พร้อมปะทะกับตำรวจอย่างต่อเนื่อง “อานนท์” วืดประกันชั้นสอบสวน รอไปลุ้นตอนส่งฝากขังศาล 11 ส.ค. เยาวชนทำลายป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประกัน 3 หมื่นบาท ศาลแพ่งชี้ตำรวจมีอำนาจใช้กระสุนยางตามความเหมาะสมแห่งพฤติการณ์

...

กรณีกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมกลุ่มราษฎร เยาวชนปลดแอก พร้อมกลุ่มแนวร่วมอีกหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายครั้ง จนเหล่าแกนนำถูกออกหมายเรียกและหมายจับ พากันเข้ารับทราบข้อกล่าวหาหลายคดี ล่าสุดศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวผู้ชุมนุมระดับแกนนำ อาทิ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง พร้อมพวกอีกนับ 10 คน ตามความผิดหลายข้อหาต่างกรรมต่างวาระ ส่งตัวเข้าเรือนจำหลายแห่งตามท้องที่เกิดเหตุตามที่เสนอข่าวไปแล้ว

“อานนท์” มอบตัว-ปฏิเสธ

กรณีนายอานนท์ นำภา ร่วมกิจกรรม “เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน” หรือม็อบแฮรี่พอตเตอร์ 2 บริเวณลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อเย็นวันที่ 3 ส.ค. ภายหลังนายอานนท์ทราบว่า มีการดำเนินคดีกับกลุ่มมวลชน จึงมาแสดงความบริสุทธิ์ใจมอบตัวที่ สน.ปทุมวัน เมื่อคืนวันที่ 9 ส.ค. ความคืบหน้าที่ สน.ปทุมวัน เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 10 ส.ค. นายวีรนันท์ ฮวดศรี ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเผยว่า หลังนายอานนท์เข้ามอบตัว พนักงานสอบสวนบันทึกการจับกุม และบันทึกคำให้การเสร็จตั้งแต่เมื่อคืน นายอานนท์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา วันนี้พนักงานสอบสวนจะฝากขังกับศาลอาญากรุงเทพใต้ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

ตำรวจไม่ให้ประกันชั้นสอบสวน

ต่อมา 15.00 น. นายวีรนันท์เผยว่า หลังยื่นหลักทรัพย์ 250,000 บาท ยื่นขอประกันตัวชั้นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ระบุสาเหตุไม่ให้ประกันตัว 1.ตัวนายอานนท์เป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมและเข้าร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายครั้ง ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวมักกระทำผิดกฎหมาย 2.ช่วงนี้เป็นช่วงของการแพร่ระบาดของโรค ถ้าปล่อยตัวนายอานนท์ไปมีแนวโน้มว่าอาจจัดกิจกรรม และทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค และ 3.ถ้าปล่อยตัวไปอาจไปก่อความยุยงปั่นป่วนให้เกิดความไม่สงบเป็นเหตุผลที่พนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัว เตรียมส่งฝากขังศาลอาญากรุงเทพใต้วันที่ 11 ส.ค.

ฝากขังทำลายป้ายหน้า ตร.

ส่วนเหตุการณ์คนร้ายบุกทำลายป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระราม 1 โดยผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ต่อมาเวลา 09.00 น. ร.ต.อ.ชัยสิทธิ์ คำผายจันทร์ รอง สว. (สอบสวน) สน.ปทุมวัน ควบคุมนายคม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ผู้ต้องหาคดีรื้อป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติวันที่ 7 ส.ค. ส่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เพื่อพิจารณาฝากขังแล้ว ผู้ต้องหาเผยว่า ตอนนี้ไม่มีความกังวล แต่ต้องรอการพิจารณาของศาล ขอให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้แกนนำทุกคน ยังยืนยันพร้อมเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไป หลังฝากขังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ผู้ปกครองยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราววงเงิน 30,000 บาท

ทนายประชุมหาแนวทางประกัน

นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เผยว่า คณะทนายความประชุมยกประเด็นหลัก 4-5 ประเด็นที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว อาทิ 1.พยานของพนักงานสอบสวนปากหนึ่ง เป็นรองผู้บังคับการตำรวจจังหวัดปทุมธานีเบิกความชัดเจนเลยว่า ไม่ขังผู้ต้องหาไว้ เด็กๆเหล่านี้ไม่สามารถไปรบกวนการสอบสวนได้ แต่ที่ขังไว้เพราะเกรงว่าจะไปเคลื่อนไหวทางการเมือง เห็นว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องนอกเหนือข้อกฎหมายจะมาขังตัวบุคคลไว้เพื่อไม่ให้ไปใช้สิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้อย่างไร 2.ประเด็นในการใช้ดุลพินิจควบคุมจับตัวผู้ต้องหาซึ่งอายุน้อยเช่น นายธนภัทร กาเพ็ง อายุเพียง 18 ปี 3 เดือน แม้เกิน 18 ปี แต่ยังเด็กอยู่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย 3.พนักงานสอบสวนอ้างอีกว่าผู้ต้องหาแต่ละคนมีคดีมากมาย บางคนมี 10 กว่าปีขึ้นไป เกรงว่าหากปล่อยตัวไปจะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เราเห็นว่าคดีทั้งหมดเป็นคดีที่ยังอยู่ในชั้นสอบสวนชั้นอัยการและชั้นศาล 4.ประเด็นที่พนักงานสอบสวนเกรงว่าผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุร้ายขัดขวางการสอบสวน

ศาลแพ่งชี้ ตร.มีอำนาจใช้กระสุนยาง

ที่ศาลแพ่ง เมื่อเวลา 13.30 น. ศาลอ่านคำสั่งคดีนายธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์ กับพวกรวม 2 คน ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวกรณีฉุกเฉินคดีหมายเลขดำ ที่ พ3683/2564 ระหว่างนายธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์ กับพวกรวม 2 คนเป็นโจทก์ กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับพวกรวม 4 คนเป็นจำเลย ฐานละเมิดกรณีใช้กระสุนยางปราบปรามผู้ชุมนุม แต่สื่อมวลชนโดนลูกหลงบาดเจ็บ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายรวม 1.4 ล้านบาท และขอคุ้มครองฉุกเฉินจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ก่อนหน้านี้ศาลออกนั่งพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานแล้ว มีคำสั่งอันสรุปว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการชุมนุมและสลายการชุมนุม คำนึงถึงความปลอดภัยของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชน ภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติงานของสื่อมวลชน

คาร์ม็อบเชียงใหม่มอบตัววุ่น

ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ เวลา 10.00 น. กลุ่มแกนนำจัดคาร์ม็อบที่จังหวัดเชียงใหม่ประกอบด้วย นายหาญศักดิ์ เบญจศรีพิทักษ์ หรือดาบชิต นายธนาธร วิทยเบญจางค์ นายจาตุรณ คำชมพู น.ส.ภัควดี วีระภาสพงษ์ และนางสังวาลย์ ศรีวิชัย พร้อมทนายความเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา หลังถูกหมายเรียกกรณีจัดกิจกรรมคาร์ม็อบ “ด่วนนครพิงค์เชียงใหม่ ไล่ประยุทธ์” เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ปรากฏว่าเกิดการปะทะระหว่างตำรวจกับกลุ่มผู้ถูกออกหมายเรียกที่เดินถือป้ายไวนิลขนาดใหญ่เข้าไปที่โรงพัก แต่ตำรวจไม่อนุญาตจนเกิดการยื้อยุดฉุดกระชากกันรุนแรงจนล้มคว่ำกับพื้นนานหลายนาที ต่อมา พ.ต.อ.ภูวนาท ดวงดี ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เข้ามาขอความร่วมมือและอนุญาตให้กลุ่มผู้เข้ามอบตัวถือป้ายในพื้นที่โรงพักได้ พ.ต.อ.ภูวนาท กล่าวว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาความผิดร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และรวมตัวจัดกิจกรรมเกิน 50คน ฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ วันนี้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาและปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข

คาร์ม็อบแนวร่วมธรรมศาสตร์คึก

ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ฝั่งถนนราชดำริ เวลา 13.00 น. กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดย น.ส.เบนจา อะปัญ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นัดหมายจัดชุมนุมรูปแบบคาร์ม็อบ ปักหมุดหมายตรงวันครบรอบ 1 ปี การประกาศ 10 ข้อเสนอปฏิรูปสถาบัน ในการชุมนุมที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 สำหรับการชุมนุมในแบบคาร์ม็อบครั้งนี้มีแนวร่วมราษฎรจากกลุ่มต่างๆเดินทางมารวมตัวคับคั่ง ส่วนใหญ่เป็นมวลชนคนเสื้อแดง ทั้งจาก จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี และฝั่งธนบุรี และกลุ่มวัยรุ่นอาชีวะ พร้อมรถนานาชนิดทั้งรถ จยย. รถเก๋ง รถกระบะติดป้ายข้อความขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ มีการบีบแตรเป็นสัญลักษณ์ขับไล่เสียงดังไปทั่วบริเวณ

โห่ไล่ตำรวจมาแจ้งให้เลิกม็อบ

ต่อมามีกำลังตำรวจจราจรและตำรวจป้องกันและปราบปราม สน.ลุมพินี เข้ามาเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม ขอให้ยุติการชุมนุมเนื่องจากเป็นช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 การชุมนุมครั้งนี้อาจส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดกลายเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ ระหว่างเจ้าหน้าที่อ่านหมายขอให้ผู้ชุมนุมเลิกจัดกิจกรรม ทำให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจตะโกนขับไล่ผู้กำกับการ สน. ปทุมวัน แม้พยายามเดินหนี แต่กลุ่มผู้ชุมนุมยังคง เดินตามไปต่อว่าต่อขานด้วยถ้อยคำรุนแรง

ยึดลูกแก้ว 9 พันลูก หนังสติ๊ก 80 อัน

ชุดสืบสวน กก.สส.บก.น.6 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ดำเนินการตรวจยึดลูกแก้วบรรจุอยู่ในถุง 90 ถุง ถุงละ 100 ลูก รวมทั้งหมด 9,000 ลูก หนังสติ๊ก 80 อัน กล่องพัสดุที่ใช้บรรจุลูกแก้ว 4 กล่อง กระเป๋าสะพายแบบเป้สีดำ 1 ใบยึดได้บริเวณสวนปทุมวนานุรักษ์ ถนนราชดำริ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.6 ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวการชุมนุมปราศรัยบริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งถนนราชดำริ ต่อมาเวลา 13.30 น. รับแจ้งพบกล่องพัสดุต้องสงสัยวางอยู่บริเวณทางเดินเท้า หน้า “สวนปทุมวนานุรักษ์” ไม่ทราบว่าผู้ใดนำมาวางทิ้งไว้ จึงร่วมกันตรวจสอบและร่วมกันตรวจยึดไว้เพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป

เป้าหมายแรกซิโน–ไทย ทาวเวอร์

จากนั้นเวลา 13.50 น. คาร์ม็อบกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เริ่มเคลื่อนขบวนจากสี่แยกราชประสงค์มุ่งหน้าแยกชิดลม เป้าหมายแรกอาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ แยกอโศก มีรถ จยย.และ รถกระบะบรรทุกเครื่องขยายเสียงเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี นำขบวน น.ส.วรรณวลี ธรรมสัตยา หรือตี้ พะเยา เป็นผู้กล่าวปราศรัยบนรถ ถึงอาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ แกนนำประกาศปิดแยกอโศก นายณวรรษ เลี้ยงวัฒนา หรือแอม แกนนำกลุ่มประชาคมศิลปากรเพื่อประชาธิปไตย ปราศรัยระบุว่า บริษัทซิโน-ไทยฯเป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงสำคัญรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมเชิญชวนประชาชนและมวลชนชู 3 นิ้วแสดงสัญลักษณ์ว่า ไม่เอารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมบีบแตรเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

แถลงอัด “นายทุน–ขุนศึก–ศักดินา”

ต่อมา น.ส.เบญจา อะปัญ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ประกาศแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมฉบับที่ 2 เรื่องประกาศเป้าหมาย “นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา” และการเมืองหลังระบอบประยุทธ์ใจความสรุปว่า แม้ในสภาวะที่โรคระบาดร้ายแรงแพร่กระจายจนไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง รัฐบาลเผด็จการยังคงแสวงหา จัดสรร และแบ่งปันผลประโยชน์แต่ชนชั้นนำ ปล่อยให้ประชาชนป่วยไข้และเสียชีวิตตามยถากรรม จากความตกต่ำทางเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา เสรีภาพในการแสดงออก เหตุแห่งความตกต่ำทั้งหมดเป็นเพราะรัฐบาลระบอบทรราช อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี สาละวนแต่จะรักษาอำนาจของตน แสวงหาผลประโยชน์ให้พวกพ้องในองคาพยพ “นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา” อย่างไม่รู้จักพอ แม้ในยามนี้ที่ประเทศชาติเผชิญกับโรคระบาดครั้งร้ายแรงที่สุด รัฐบาลยังมิวายหากำไรกับความเป็นความตายของราษฎร ไม่ยอมแสวงหาวัคซีนที่มีคุณภาพและหลากหลาย นอกจากนี้ ยังตัดสินใจผิดเพี้ยนออกแต่มาตรการประหลาดที่มีแต่จะฆ่าคนให้ตายทางเศรษฐกิจ

ให้รัฐบาลลาออกตั้งรัฐบาลใหม่

“รัฐบาลฆาตกรนี้ล้มเหลวสิ้นเชิง และจวนเจียนจะล่มสลายลงเต็มที บุคคลทั้งหลายที่ร่วมกันใช้อำนาจในระบอบโสมมฉ้อฉลนี้ต้องรับผิดชอบ และหนีออกไปให้พ้นเสียจากอำนาจเดี๋ยวนี้ เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้น รัฐบาลดังกล่าวจะต้องจัดตั้งขึ้นตามวิถีทางประชาธิปไตย ต้องเป็นรัฐบาลของประชาชน ดังนั้น การเมืองหลังระบอบประยุทธ์ ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า เพื่อดำเนินภารกิจเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่รัฐบาลปัจจุบันไม่มีความตั้งใจจะทำ และทำไม่ได้ มีดังนี้ 1.ควบคุมสถานการณ์โรคระบาดให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ประชาชนในชาติได้รับการตรวจ รักษา และป้องกันโรคระบาดอย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่เสียเวลาลงทะเบียนและขั้นตอนที่ยาวนาน จนเป็นการฆ่าคนตายอย่างขั้นตอนในระบบราชการ 2.แก้ไขวิกฤตการณ์เศรษฐกิจให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้โดยปกติสุข 3. ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นเพื่อเป็นช่องทางให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา สืบทอดอำนาจของตน และร่างรัฐธรรมนูญประชาชนขึ้นใหม่ทั้งฉบับ 4.ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างสถาบันการเมือง สถาบันกองทัพ สถาบันศาล สถาบันกษัตริย์ รวมถึงสถาบันอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ และประเทศชาติมีประชาธิปไตย 5.ประเคนคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ประชาชนเดี๋ยวนี้” น.ส.เบญจากล่าว

เรียกร้องข้าราชการหยุดทำหน้าที่

น.ส.เบญจาแถลงเรียกร้องต่อไปอีกว่าขอให้พี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมใจกันขับไล่ทรราชเหล่านี้ด้วยวิธีการใดๆที่พึงกระทำได้ สำหรับข้าราชการในกระทรวง กรม กองต่างๆ ขอให้หยุดปฏิบัติงานและขัดขืนต่อคำสั่งใดๆที่ได้รับจากรัฐบาล ข้าราชการตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร หรือเจ้าหน้าที่ราชการที่มีอาวุธ ห้ามใช้หรือเคลื่อนย้ายกำลังและอาวุธมาสกัดขัดขวาง ปราบปราม ทำร้าย หรือเข่นฆ่าประชาชนเป็นอันขาด สำหรับกลุ่มทุนและธุรกิจทั้งหลายจงยุติการสนับสนุนรัฐบาลระบอบทรราชนี้ ทั้งในทางการเงินหรือทางใดๆ เพราะนี่เป็นการลงทุนที่ล้มเหลวกลายเป็นทุนสูญเปล่าภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สำหรับประชาคมโลกขอให้ร่วมกันจับตาและเป็นกำลังใจให้การต่อสู้ของประชาชนคนไทยครั้งนี้ มีเพียงการต่อสู้ของประชาชนเท่านั้นจะปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของระบอบทรราชนี้ได้

เรียกร้องถอนตัวจากรัฐบาล

ต่อมาเวลา 15.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมร่วมกันเอาตุ๊กตาไล่ฝนสีขาวพ่นสีชมพูมาวางที่บันไดหน้าตึกซิโน-ไทย เพื่อให้เห็นภาพประชาชนที่เสียชีวิตจากการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ผิดพลาดของรัฐบาล พร้อมเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจากรัฐบาลมาอยู่เคียงข้างประชาชน จากนั้นผู้ร่วมชุมนุมทั้งหมดร่วมกันโปรยใบประกาศแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมฉบับที่ 2 เรื่องประกาศเป้าหมาย “นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา” และการเมืองหลังระบอบประยุทธ์ไปทั่วถนนอโศกมนตรี บริเวณหน้าตึกซิโน-ไทย ก่อนเคลื่อนขบวนต่อไปยังบ้านของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ บริเวณถนนพระราม 9

เสียงบึมดังหน้าบริษัทธรรมนัส

เวลา 16.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมมาที่บริษัทธรรมนัสกรุ๊ป เลขที่ 888 ถนนอโศกดินแดง แกนนำระบุว่าเป็นบ้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ ระหว่างขบวนหยุดอยู่บริเวณปากซอยถนนอโศกดินแดง มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งกรูกันเข้าไปในซอยที่ตั้งบริษัทนำวัตถุเสียงดังคล้ายระเบิดขว้างปาใส่ ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่อยู่ในซอยออกมาดูด้วยความตกใจ แกนนำกลุ่มนำโดย น.ส.วรรณวลี ธรรมสัตยา หรือตี้ ต้องเข้าไปห้ามปรามและขอร้องให้มวลชนเดินทางกลับ โดยไม่มีการแสดงสัญลักษณ์ใดๆ ก่อนประกาศให้มุ่งหน้าไปต่อที่บริษัทคิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ

จยย.ม็อบแยกเปิดศึกแยกดินแดง

เวลา 16.30 น. ระหว่างกลุ่มคาร์ม็อบมุ่งหน้าไปยังบริษัทคิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ มวลชนชายฉกรรจ์วัยรุ่นขี่รถ จยย.ส่วนหนึ่งไม่เดินทางไปด้วย แต่เลี้ยวกลับมายังถนนราชปรารภมุ่งหน้าแยกดินแดง เป็นจุดที่มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งแนวสกัดกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปบริเวณ ร.1 ทม.รอ. กลุ่มผู้ชุมนุมพยายามยั่วยุตะโกนด่าทอขว้างปาสิ่งของต่างๆรวมทั้งวัตถุเสียงดังคล้ายระเบิดเข้าใส่เจ้าหน้าที่ รวมทั้งทำลายป้อมจราจรตรงแยกสามเหลี่ยมดินแดง ฝ่ายเจ้าหน้าที่ประกาศเตือนก่อนใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางระดมยิงสกัด กลายเป็นเหตุปะทะ สถานการณ์กลุ่มผู้ชุมนุมครั้งนี้ไม่มีทีมเก็บกู้แก๊สน้ำตาเหมือนการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ส.ค. แต่ตอบโต้ด้วยการขว้างปาวัตถุเสียงดังคล้ายระเบิดใส่เจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง

“รุ้ง” ทวีตให้ถอนตัวอย่าปะทะ

ส่วนทีมงานแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ประกาศเคลื่อนขบวนต่อไปยังอาคารคิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม ทวีตข้อความด้วยว่า “ใครอยู่ในแนวปะทะขอให้ถอนออกมา นี่ไม่ใช่เป้าหมายของเรา!!” แต่ก็มีไม่มีกลุ่มวัยรุ่นคนใดสนใจ กลุ่มวัยรุ่นยังคงปาประทัดที่แยกดินแดงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งเริ่มเคลื่อนตามแกนนำไปยังจุดหมาย

สาดสี–เทขยะอัดธุรกิจผูกขาด

เมื่อขบวนคาร์ม็อบเคลื่อนมาถึงจุดที่ 3 หน้าบริษัทคิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ ปักหลักเปิดปราศรัย นายณวรรษ เลี้ยงวัฒนา กล่าวโจมตีคิง เพาเวอร์ว่าเป็นธุรกิจผูกขาด พร้อมขอให้มวลชนแนวร่วมบีบแตรขึ้นพร้อมกันเพื่อแสดงออกว่าราษฎรรับไม่ได้ 17.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ด้วยการนำสีแดงใส่ถังมาสาดใส่ป้ายบริษัทคิง เพา-เวอร์ พร้อมนำขยะสิ่งของเน่าเหม็นขว้างปาเข้าใส่ จากนั้นแกนนำประกาศยุติการชุมนุม ระบุว่า แม้กิจกรรมจะดำเนินไปไม่ครบหมุดหมายที่วางไว้ แต่ได้แสดงออกให้สังคมเห็นแล้วว่า แต่ละที่ที่ไปนั้นล้วนเป็นกลุ่มที่สนับสนุนระบอบการเมืองปัจจุบัน แม้ไม่สามารถทำกิจกรรมให้ลุล่วง แต่เราจะไม่ยอมแพ้ ขอขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมในการชุมนุมวันนี้ จากนั้นมวลชนที่เดินทางมาส่วนหนึ่งทยอยเคลื่อนไปสนับสนุนที่แยกดินแดง

เผาป้อมตำรวจใต้ทางด่วนดินแดง

เวลา 17.40 น. มวลชนคาร์ม็อบจากซอยรางน้ำทยอยเดินทางมาสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ก่อเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนบริเวณแยกดินแดง มีการระดมน้ำดื่มและอุปกรณ์ต่างๆมาสมทบ แล้วเริ่มใช้หนังสติ๊กยิงตอบโต้ใส่เจ้าหน้าที่ บรรยากาศบริเวณโดยรอบเริ่มปกคลุมด้วยควันแก๊สน้ำตาสลับกับเสียงดังคล้ายระเบิดจากวัตถุที่กลุ่มผู้ชุมนุมขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่ ต่อมาสถานการณ์เริ่มเข้าข่ายจลาจล เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนเริ่มจุดไฟเผาป้อมตำรวจที่ตั้งอยู่ใต้ทางด่วนดินแดง ทำให้เกิดเปลวไฟลุกท่วมพร้อมกับกลุ่มควันหนาแน่นไปทั่วบริเวณ

ตำรวจลุยกดดันม็อบไปอนุสาวรีย์

หลังจากนั้นตำรวจชุดควบคุมฝูงชนนำรถฉีดน้ำแรงดันสูงพร้อมกำลังเคลื่อนเข้ามาควบคุมสถานการณ์โดยฉีดน้ำดับไฟที่ป้อมตำรวจที่ถูกเผา ผู้ชุมนุมยังเอาสิ่งของมาเผาบนถนนอีกหลายจุด ส่วนกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งแถวบริเวณอุโมงค์ดินแดง แล้วเดินหน้าเข้าหาผู้ชุมนุมเพื่อสลาย และผลักดันออกนอกพื้นที่ จนมวลชนแตกฮือถอยหนีไปตามตรอกซอกซอยบางส่วน ถอยกลับไปรวมตัวที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ตำรวจถูกยิงเจ็บ 2 นาย

เวลา 18.15 น. เกิดเหตุชุลมุนบริเวณแยกดินแดง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งแถวเตรียมเข้ากระชับพื้นที่ มีการยิงแก๊สน้ำตาและเสียงคล้ายระเบิดตอบโต้กันเป็นระยะ ส่งผลให้ผู้ชุมนุมบางส่วนต้องวิ่งหนีออกจากพื้นที่แยกดินแดงมุ่งหน้าแยกประชา-สงเคราะห์ จุดนี้มีตำรวจถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ต่อมาเวลา 19.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนเข้ากระชับพื้นที่ยังปะทะกับกลุ่มวัยรุ่นทั้งฝั่งแฟลตดินแดงและฝั่งแยกราชปรารภที่ใช้พลุ ประทัดระเบิดปิงปอง ระเบิดเพลิง และปืนตอบโต้ แต่ทานไม่ไหวส่งผลให้ผู้ชุมนุมบริเวณแฟลตดินแดงถอยร่นจากพื้นที่มุ่งหน้าแยกประชาสงเคราะห์ ส่วนผู้ชุมนุมฝั่งแยกราชปรารภถอยร่นไปรวมตัวบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

เคลียร์พื้นที่อนุสาวรีย์ชัยยึด จยย.

เวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเข้ากระชับพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและถนนราชวิถี จนกลุ่มผู้ชุมนุมวัยรุ่นหัวรุนแรงส่วนใหญ่ถอยร่นไปยังปากซอยรางน้ำและแยกพญาไท ถนนพญาไท ตามลำดับ ขณะที่ถนนอโศก-ดินแดง ช่วงปากซอยตลาดศรีวานิช เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมกลุ่มวัยรุ่นชายที่ร่วมก่อเหตุจลาจลไว้จำนวนหนึ่ง พร้อมถ่ายรูปยึดรถ จยย.ทุกคันที่จอดริมถนนระหว่างช่วงการชุมนุมนับสิบคันทั้งหมด ขณะที่บริเวณแยกประชาสงเคราะห์ ถนนอโศก-ดินแดง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว