นับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ การชุมนุมของมวลชนหลายกลุ่มใน กทม. เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กลายเป็นเหตุรุนแรงจากการปะทะกันระหว่างตำรวจกับฝูงชน แต่น่าดีใจที่การชุมนุมในหลายจังหวัด ในวันเดียวกันเป็นการชุมนุมที่สงบ และปราศจากอาวุธ ส่วนการชุมนุมที่ กทม. พอเปิดฉากขึ้นก็เกิดปะทะกันทันที
สาเหตุของการปะทะ เนื่องจากรัฐบาลและตำรวจถือว่าประเทศปกครองโดย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามมีการชุมนุมโดยเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนจะถูกจับกุม และนำไปสู่การปะทะทันที ตำรวจนอกจากจะเตรียมตู้คอนเทนเนอร์สกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว ยังเตรียมรถไว้คุมขังผู้ถูกจับ คราวนี้ รถขังคนจึงกลายเป็นเป้าที่ถูกเผา
การชุมนุมโดยสงบเป็นหัวใจสำคัญ ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก รัฐธรรมนูญบางประเทศห้ามแม้แต่ รัฐสภาไม่ให้ออกกฎหมาย เพื่อจะลิดรอนเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ หรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่รัฐธรรมนูญไทย แม้จะมีบทบัญญัติคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุม แต่เปิดช่องให้สั่งห้ามได้
รัฐบาลอำนาจนิยมในปัจจุบัน จึงฉวยโอกาสออกคำสั่งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกข้อกำหนดห้ามประชาชนไม่ให้มั่วสุมชุมนุม ห้ามเผยแพร่ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว แต่กรณีการห้ามเสนอข่าว ศาลแพ่งตัดสินว่าเป็นการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ
แต่การห้ามชุมนุมโดยอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังไม่มีใครร้องขอให้ศาลใดวินิจฉัย ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายกรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่รัฐ จึงสามารถตีความ และ บังคับใช้กฎหมายได้ตามอำเภอใจ อย่างไร ก็ตาม ในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย เสรีภาพการชุมนุมที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง ต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบ
ในอดีต เคยมีพรรคการเมืองบางพรรค ยึดหลักการการต่อสู้ว่าพรรคจะต้องประกอบด้วย “แก้ว 3 ประการ” อันได้แก่พรรค แนวร่วม และกองกำลังถืออาวุธ ยกแบบอย่างพรรคคอมมิวนิสต์บางประเทศ ที่ถือคติ “อำนาจการเมืองมาจากปลายกระบอกปืน” แต่การต่อสู้ด้วยความรุนแรง คือหลักประชาธิปไตยขัดแย้ง
...
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นักการเมือง หรือประชาชน ถ้ายึดหลักการใช้ความรุนแรง ต้องคือเป็นความหลงผิด เป็น “มิจฉาทิฐิ” ทางการเมืองยากที่จะประสบความสำเร็จ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ คณะรัฐประหาร ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แม้จะยึดอำนาจสำเร็จ แต่ไม่เป็นที่ยอมรับไม่จีรังยั่งยืน.