แกนนำเพื่อไทย-ก้าวไกล รีบเบรกกระแสงัดข้อหนัก “ประเสริฐ” ยันทำงานร่วมกันได้ไม่มีปัญหา ยึดมั่นฝ่ายประชาธิปไตย “ชลน่าน” ลั่นไม่มีทางจับมือ “ระบอบประยุทธ์” แต่ถ้าไม่มี “ตู่” อาจคุยกันได้ “อุบลศักดิ์” แบะท่าไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูถาวร “พิจารณ์” ย้ำแค่ความเห็นต่าง เป้าหมายหลักจับมือโค่น “ระบอบตู่” “เฉลิมชัย” โต้พรรคร่วม รบ.ไม่มีเตะตัดขากันเอง “ชวน” ตั้งท่ารอบรรจุญัตติซักฟอก โฆษก รบ.วอนม็อบห่วงใยบ้านเมือง “สิระ” ขู่ฟ่อแจ้งจับ ส.ส.ร่วมสังเกตการณ์ บช.น.สั่งห้ามประชิดวัดพระแก้ว ฝากขัง 5 ผู้ต้องหารถเครื่องเสียง “น้ำ มิสแกรนด์” ประกาศไม่หยุดคอลเอาต์
แกนนำ 2 พรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทยและ ก้าวไกล ต้องรีบออกมาเบรกกระแสความแตกแยก พร้อมยืนยันยังจับมือทำงานร่วมกันได้ โดยเฉพาะในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทยหลายคนพูดเสียงแปร่ง ไม่ปิดโอกาสร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยมีเงื่อนไขต้องไม่ตกอยู่ภายใต้ระบอบประยุทธ์

...
พท.ยาหอมก้าวไกลไร้ปัญหา
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหารอยร้าวกับพรรคก้าวไกล ว่า ยืนยันการทำงานร่วมกันในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่มีปัญหา เรามีเป้าหมายเดียวกันคือไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม บริหารประเทศต่อ มีการพูดคุยกันตลอดเวลา โดยเฉพาะการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีมติที่จะยื่นร่วมกันไปแล้ว ส่วนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่เห็นไม่ตรงกันนั้น ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 2 พรรคมีความขัดแย้ง เพียงแค่เห็นต่างกันเท่านั้น เมื่อถามว่าถูกตั้งข้อสังเกตว่าระยะหลังเพื่อไทยมีความเห็นสอดคล้องกับพลังประชารัฐ ทั้งเรื่อง งบประมาณฯ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายประเสริฐตอบว่า เราคิดก่อนที่พลังประชารัฐจะผลักดันเรื่องนี้เสียอีก เป็นเขาที่เดินตามหลังเรา ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยยังยืนอยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยอย่างมั่นคง
ลั่นไม่ญาติดี “ระบอบประยุทธ์”
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กระแสสังคมตอนนี้เห็นชัดว่าคนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์แล้ว แม้ได้งบฯกลางก้อนนี้ไปแก้ปัญหา ประชาชนเขาก็ไม่อยากให้อยู่ต่อ เราจึงคิดว่าควรนำเม็ดเงินเข้าระบบไว้เพื่อรองรับใครก็ตามที่อาจได้เข้ามา จะได้มีงบประมาณสำหรับช่วยเหลือประชาชน หรือแม้ว่าจะไล่ พล.อ.ประยุทธ์ออกไปไม่ได้ ก็ต้องมีระบบควบคุมกำกับดูแลตรวจสอบให้เป็นตาม วัตถุประสงค์การแก้ไขปัญหาโควิดเท่านั้น เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ นพ.ชลน่านตอบว่า เป็นเงื่อนไขทางการเมืองที่ซับซ้อน ถ้าพรรคพลังประชารัฐยังอยู่ในระบอบประยุทธ์อยู่ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เพื่อไทยจะไปจับมือด้วย แต่ถ้าเขาปรับกลไกการบริหารมาทางประชาธิปไตยมากขึ้น ไม่ยึดกับระบอบประยุทธ์ก็อาจคุยกันได้ แต่ถ้ายังเป็นอยู่แบบปัจจุบันที่มีหัวหน้าพรรคเขาเป็นแกนนำของระบอบประยุทธ์ ไม่มีทางเป็นไปได้
ส่งซิก พปชร.ไม่ใช่ศัตรูถาวร
นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย รองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 กล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตว่าพรรคเพื่อไทยเคยอภิปรายโจมตีรัฐบาลหลายครั้ง เรื่องการให้นายกฯมีอำนาจใช้งบฯกลางจำนวนมาก แต่ทำไมครั้งนี้กลับเห็นชอบตีเช็คเปล่าให้นายกฯว่า สถานการณ์ขณะนี้ต้องเร่งช่วยเหลือประชาชนก่อน งบฯที่ตัดลดลงมากว่า 16,000 ล้านบาท จะเอาไปไว้ที่ไหน เอาไปทิ้งทะเลหรือ ยืนยันพรรคเพื่อไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ขอให้พรรคก้าวไกลหยุดนำเรื่องนี้มาโจมตีได้แล้ว การเห็นไม่ตรงกันถือเป็นความเห็นหลากหลาย มั่นใจว่าไม่กระทบกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยังทำงานร่วมกันได้ แต่ไม่ใช่การเตรียมจับมือตั้งรัฐบาลกับพลังประชารัฐ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่กับพลังประชารัฐ เราไม่เอาด้วยแน่ แต่ถ้าวันหน้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยู่ พลังประชารัฐอาจมีแนวคิดเหมือนเพื่อไทยก็ได้ ทำไมต้องเป็นศัตรูกันถาวร

“พิชัย” แซะ “ตู่” หลอกตัวเองมีแต่พัง
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หั่นการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือการขยายตัวเพียงร้อยละ 0.7 ขณะที่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์ว่าจะ -1.5 พล.อ.ประยุทธ์ต้องฝึกคิดล่วงหน้า และคาดการณ์สถานการณ์เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นให้ได้ เพื่อหาวิธีป้องกัน ไม่ใช่ตามแก้รายวันแบบที่เป็นอยู่ แต่วันนี้ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์จะปล่อย ประเทศและประชาชนไปตามยถากรรม ไม่ได้สร้างความมั่นใจเลยว่าประเทศไทยจะก้าวพ้นจากสภาวะวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร ทุกวันนี้สิ่งที่ได้ยินจาก พล.อ.ประยุทธ์คือคำพูดปลอบใจตัวเอง เหมือนต้องการหลอกตัวเองไปวันๆ แต่ไม่มีแนวทางที่ชัดเจนเลย พอมีคนที่รู้และเป็นห่วงออกมาเสนอแนะกลับไม่ฟัง
กก.จับมือ พท.ลุยศึกซักฟอกต่อ
ด้านนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อนุ กมธ.ครุภัณฑ์ และไอซีทีฯ ในกมธ.งบฯ 65 กล่าวว่า ความเห็นต่างระหว่างพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล คงไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกัน เรามีเป้าหมายเดียวกันคือไม่ยอมรับ พล.อ.ประยุทธ์อีกต่อไป การเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจน่าจะทำงานร่วมกันได้ดี และเราพยายามไม่ทำให้เกิดภาพความแตกแยกไปมากกว่านี้ พรรคก้าวไกลประกาศจุดยืนมาตลอดตั้งแต่ก่อนลงมติแล้วว่า ควรนำงบฯไปใช้เรื่องสวัสดิการ เมื่อผลโหวตของพรรคฝ่ายค้านไม่ตรงกัน ก็เป็นเรื่องปกติที่สังคมจะตั้งคำถาม เราไม่ได้ต้องการสร้างความไม่ชอบธรรม หรือความแตกแยก เรารู้ว่าเสียงของพรรคฝ่ายค้านรวมกันก็ยังน้อยกว่าฝ่ายรัฐบาล เราจึงพยายามชวนพรรคร่วมรัฐบาลมาเห็นด้วยกับฝ่ายเรา
แนะโยก 1.63 หมื่น ล. ให้ 5 องค์กร
นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า การปรับลดงบฯจากหน่วยงานต่างๆมาไว้ที่งบฯกลาง 1.63 หมื่นล้านบาท เพื่อแก้ไขวิกฤติโควิดนั้น ปกตินายกฯมีงบฯกลางอยู่แล้วในมือ และยังมีงบฯเงินกู้อีกมากมาย ที่บางส่วนยังใช้ไม่ตรงกับสถานการณ์ ดังนั้น งบฯส่วนนี้ควรไปถึงหน่วยงานที่มีภารกิจโดยตรงในการแก้ปัญหาโควิด เป็นแนวทางที่ฝ่าทั้งเงื่อนไขการเมือง และฝ่าปัญหาระบบราชการที่ดีที่สุด
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำเงินส่วนนี้ไปโปะงบฯกลางทั้งหมด ที่ผ่านมารัฐบาลมีเงินทั้งจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และที่กู้เพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท แต่ปัญหาคือระบบราชการรวมศูนย์ เงินมีแต่ใช้ไม่เป็นระบบล่าช้า ระเบียบรุงรัง ไม่ตอบโจทย์สถานการณ์วิกฤติ ขอเสนอให้แปรญัตติไปไว้ในองค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรง 5 หน่วยงาน คือ 1.สภากาชาดไทย 2.ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ 3.กรมควบคุมโรค 4.องค์การเภสัชกรรม 5.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ถ้ามีงบฯชัดเจนเชื่อว่างานจะเดิน

“เสี่ยต่อ” โต้พรรคร่วมไม่มีแทงหลัง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องเสถียรภาพรัฐบาลขณะนี้ ในพรรคร่วมรัฐบาลคุยกันแล้วว่ารัฐบาลกำลังแก้ปัญหาโควิด ดังนั้นเราจะไม่พูดเรื่องการเมือง พรรคร่วมคิดตรงกันว่าเราต้องจับมือร่วมกันกับทุกฝ่าย ไม่สร้างปัญหาใดเพิ่มอีก และฝากไปถึงทุกพรรค และนักการเมืองทุกคนว่าอยากให้มาช่วยกัน เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าในพรรคร่วมรัฐบาลส่งข้อมูลให้ฝ่ายค้าน มุ่งหวังจะเปลี่ยนตัวนายกฯ นายเฉลิมชัยตอบว่า เป็นข่าวลือ วันนี้เรากำลังเดินหน้าแก้ไขปัญหา ไม่มีใครกระตุกขากันเองโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ หากพ้นวิกฤตินี้ไปแล้วใครมีความคิดเห็นอย่างไรค่อยไปว่ากันอีกที
“ชวน” ตั้งท่ารอบรรจุญัตติซักฟอก
ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เรื่องญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รอให้ฝ่ายค้านเสนอมาจะรับเรื่องทันที เพราะสมัยประชุมสภาฯจะมีถึงวันที่ 18 ก.ย.นี้ ขณะที่มาตรการป้องกันเชื้อโควิด ยังคงมาตรการป้องกันที่เข้มข้น ส่วนประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่พรรคก้าวไกลมองว่ามีการสอดไส้แก้ไขนอกเหนือไปจากร่างฯที่ผ่านวาระแรก เป็นเรื่องที่คณะกรรมาธิการฯต้องไปหารือกันให้ตกผลึกแล้วนำเสนอขึ้นมา ส่วนรายละเอียดการแก้ไขตนไม่สามารถลงลึกได้ แต่ติดตามจากข่าวสารอยู่ตลอด
“นิกร” ยันแก้ รธน.เกินหลักการได้
นายนิกร จำนง เลขานุการกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 83 และมาตรา 91 ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้พิจารณาคำแปรญัตติที่เสนอเข้ามา 50 ญัตติ จะเร่งสรุปรายละเอียดเนื้อหาเสนอให้ที่ประชุม กมธ.พิจารณาครั้งถัดไป เชื่อว่าไม่มีปัญหา เพราะหลักการใหญ่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ คือ การมี ส.ส. 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ดังนั้นรายละเอียดที่เกี่ยวเนื่องกับหลักการใหญ่ หากต้องแก้ไขเพื่อทำให้หลักการดังกล่าวสมบูรณ์ จึงไม่มีปัญหาสิ่งสำคัญคือคำนึงถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้มากที่สุดไม่ใช่ คำนึงถึงประโยชน์พรรคการเมืองใดจะได้รับหรือไม่

“ดอน” ร่วมถก รมต.อาเซียน 54
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 2-6 ส.ค. นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 54 และการประชุมที่เกี่ยวข้องผ่านระบบทางไกล โดยหารือถึงการเข้าถึงวัคซีนโควิดและความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูในภูมิภาค มีมติจัดสรรเงินกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือโควิด-19 ซื้อวัคซีนให้แก่ประเทศสมาชิก รับรองกรอบการจัดทำระเบียบการเดินทางในภูมิภาค เห็นชอบรับสหราชอาณาจักรเป็นประเทศคู่เจรจา รับเดนมาร์กและโอมานเป็นอัครภาคีของสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนสหรัฐอเมริกาคู่เจรจาประกาศสนับสนุนเงิน 5 แสนดอลลาร์ ให้กองทุนอาเซียนรับมือโควิด-19 จีนเสนอตั้งศูนย์การผลิตและวิจัยวัคซีนในอาเซียน ญี่ปุ่นสนับสนุนตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข และโรคอุบัติใหม่ อินเดียทบทวนข้อตกลงการค้าอาเซียน-อินเดีย และผลักดันโครงการถนนสามฝ่ายอินเดีย-เมียนมา-ไทย ภายใต้เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตกไปยัง สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
“ศรีฯ” ยื่น ป.ป.ช.ฟัน “เสรีพิศุทธ์”
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.ไต่สวน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และมีมติส่งเรื่องไปยังอัยการสั่งฟ้องไปยังศาลฎีกา และขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หลังศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้องคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ขอให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่าสั่งให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำของบ้านพักในแม่น้ำแควน้อย ภายใน 30 วันแล้ว แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์นำความไปฟ้องศาลในฐานะ ส.ส.และหัวหน้าพรรคการเมือง อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง คล้ายกรณีของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ที่ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่
“บิ๊กป้อม” สั่งคุมเข้มเฟกนิวส์
เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ โดยเห็นชอบให้มีคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อมูลข่าวปลอมที่ชัดเจนสามารถยืนยันตัวบุคคลที่เป็นต้นตอของการกระทำผิดและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินคดีได้อย่างเด็ดขาดรวดเร็ว พล.อ.ประวิตร กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดขับเคลื่อนทำงานให้ทันต่อสถานการณ์ และบังคับใช้กฎหมายจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ป้องกันประชาชนสับสน หยุดยั้งข่าวปลอมไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี
รบ.วอนม็อบห่วงใยบ้านเมือง
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วอนผู้ที่จะเข้าร่วมกิจกรรมหรือชุมนุมทางการเมืองห่วงใยความปลอดภัยของตนเอง ครอบครัว ชุมชน และบุคคลอื่น การชุมนุมมีความผิดทางอาญาโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประกาศเรื่องการห้ามชุมนุม ทำกิจกรรม มั่วสุม ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ฉบับที่ 9 ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. รัฐบาลยืนยันประชาชนยังคงมีสิทธิและเสรีภาพแสดงออกทางการเมืองอย่างสุจริต ขอความร่วมมือจากกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้ที่จะเข้าร่วม ให้คำนึงถึงประเทศชาติ และความพยายามของทุกฝ่ายในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค

“สิระ” จ่อแจ้งจับ ส.ส.ร่วมชุมนุม
นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีกลุ่มเยาวชนปลดแอกนัดชุมนุมที่บริเวณพระบรมมหาราชวังในวันที่ 7 ส.ค.ว่า เป็นการกระทำเลวร้ายที่สุด ตั้งแต่มีการชุมนุมมาไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับสถาบันเหมือนคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่การชุมนุมตามสิทธิรัฐธรรมนูญ นายอานนท์ นำภา ที่เป็นทนายความ สอนกฎหมายลูกศิษย์อย่างไรไม่รู้จักสันติอหิงสา ใช้ความรุนแรง นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ มีหมายจับแล้วจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค. ดังนั้นวันที่ 6 ส.ค. จะไปยื่นเรื่องต่อศาลอาญาให้ถอนประกันตัวแกนนำที่ทำผิดเงื่อนไขศาล ส่วน ส.ส.ที่ร่วมชุมนุมอ้างไปสังเกตการณ์ในฐานะ กมธ.นั้นทำไม่ได้ ต้องได้รับมติจาก กมธ.ก่อน มีหลักฐานครบ เตรียมไปแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.นางเลิ้ง
“ประเวศ” ชงโมเดล 100 มหาลัย
ขณะที่ นพ.ประเวศ วะสี ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้การเมืองตกอยู่ในสภาวะล็อกอิน (Locked in) เขยื้อนไม่ได้ อันเกิดจากโครงสร้างอำนาจมีมาเป็นพันๆปี ประกอบด้วย 1.ชนชั้นสูงหรือผู้ดีเก่า 2.กองทัพ และ 3.พ่อค้าหรือนายทุนบางส่วน โครงสร้างอำนาจสามเสากำหนดผู้บริหารประเทศ ต่อต้านคนรุ่นใหม่ และการเปลี่ยนแปลง เป็นโครงสร้างที่ขัดแย้งกับธรรมชาติความเป็นจริง นำไปสู่ความระส่ำระสายปั่นป่วนรุนแรงจะตามมา ถ้าปลดล็อกไม่ได้ ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชนกว่า 100 แห่ง มีนักศึกษารวมกันกว่าล้านคน มีคณาจารย์ นักวิชาการหลายแสนคน เป็นขุมกำลังทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุด ทำอย่างไรขุมกำลังนี้จะเป็นพลังทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤติ สาเหตุที่มหาวิทยาลัยไม่เป็นพลังทางปัญญา ไม่สามารถเป็นหัวรถจักรพาชาติออกจากวิกฤติ เพราะมุ่งสอนแต่ไม่ลงมือทำ ขาดพลังสร้างสรรค์ ดังนั้น กระทรวงการอุดมศึกษาฯควรทำนโยบายเร่งด่วน หลักสูตรการเรียนรู้ในฐานการทำงาน เพื่อสร้างคนไทยที่ทำเป็น คิดเป็น จัดการเป็น เป็นพลังทางเศรษฐกิจ หลักสูตรทุกระดับควรเปลี่ยนฐานการเรียนรู้จาก “ท่อง” เป็น “ทำ” เพื่อปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
บช.น.ห้ามประชิดวัดพระแก้ว
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และโฆษก บช.น. กล่าวว่า วันที่ 7 ส.ค.ตามที่กลุ่มเยาวชนปลดแอก Free Youth นัดชุมนุม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และกลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นัดชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ จัดกิจกรรม CarMob 2 ล้อ เคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาล ขอเตือนว่าอาจผิดกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมโรคฯ และข้อหาอื่น ทั้งนี้ ผบช.น.สั่งเตรียมกำลังป้องกันเหตุ บริเวณสถานที่ราชการ โบราณสถาน หากมีการกระทำใช้ความรุนแรงจะบังคับใช้กฎหมายทันที โดยเฉพาะหน้าวัดพระแก้วสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ในระยะ 150 เมตร หรือ 300 เมตร ส่วนจำเลยทำผิดเงื่อนไขประกันตัวของศาล พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างดำเนินการไม่ต่ำกว่า 5 ราย
ฝากขัง 5 ผู้ต้องหารถเครื่องเสียง
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า กรณีวันที่ 3 ส.ค. กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย นำมวลชนชุมนุมปราศรัย ที่แยกปทุมวัน ตำรวจจับกุมผู้ขับขี่รถเครื่องขยายเสียง และผู้จัดอุปกรณ์เวทีที่ใช้ในการปราศรัย 5 ราย ข้อหาร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สน.ปทุมวัน นำผู้ต้องหาทั้งหมดผัดฟ้องฝากขังต่อศาลแขวงปทุมวันแล้ว ขณะนี้ได้ดำเนินคดีกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหมด 293 คดี อยู่ระหว่างสอบสวน 97 คดี ส่งสำนวนอัยการสอบสวนดำเนินคดีแล้ว 196 คดี
“น้ำ” ประกาศไม่หยุดคอลเอาต์
ต่อมาเวลา 13.35 น. ที่ สน.นางเลิ้ง น้ำ-พัชรพร จันทรประดิษฐ์ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2020 เข้าพบพนักงานสอบสวน รับทราบข้อกล่าวหากรณีนายอภิวัฒน์ ขันทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แจ้งความร้องทุกข์ในข้อหาดูหมิ่นโดยการโฆษณาโพสต์ข้อความให้นายกฯได้รับความเสียหาย มีนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ผอ.กองประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ เดินทางมาด้วย หลังสอบสวนน้ำ-พัชรพรเผยว่า มารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกครั้งที่ 2 รวม 3 ข้อหา ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันยังเดินหน้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาล แม้จะถูกดำเนินคดีซ้ำก็ตาม เพราะไม่มีเจตนาที่จะทำลายรัฐบาล เพียงแค่ต้องการสะท้อนความจริง เช่น เรื่องวัคซีนที่ประชาชนไม่สามารถเลือกตามที่ต้องการได้
ที่ สน.สำราญราษฎร์ นายนิรุจน์ บัวนิล ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นำแนวร่วมกลุ่มราษฎร 5 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ส่วน น.ส.เบนจา อะปัญ แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม ขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนไปเป็นวันที่ 16 ส.ค.
ศปปส.จี้กองทัพสกัดปลดแอก
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) แจ้งวัฒนะ กลุ่มมวลชนแนวร่วมเครือข่ายศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) นำโดยนายจักรพงศ์ กลิ่นแก้ว และนายอัคราวุธ ไกรศรีสมบัติ แกนนำกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน ยื่นหนังสือถึง พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) เรียกร้องให้กองทัพและฝ่ายความมั่นคงกำหนดมาตรการปกป้องสถาบัน และป้องกันเหตุความวุ่นวายจากการนัดหมายชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่จะเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังพระบรมมหาราชวัง เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกฯ ในวันที่ 7 ก.ค. โดยก่อนหน้านี้ในช่วงเช้ากลุ่ม ศปปส.ได้ไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. เรียกร้องในประเด็นเดียวกัน
“บิ๊กปั๊ด” ประชุมรับมือม็อบ 7 ส.ค.
เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ บช.น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ปฏิบัติราชการ บช.น. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ร่วมประชุมเตรียมความพร้อมดูแลการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกและแนวร่วม ในวันที่ 7 ส.ค. โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า อยากฝากว่าจะทำการอะไรอย่าได้ซ้ำเติมความเดือดร้อนกับประเทศชาติ สังคมโดยส่วนรวมขอให้คิดให้ดี คนที่กระทำผิดซ้ำตำรวจต้องดำเนินคดีทุกเรื่อง ไม่เคยปล่อยปละละเลย ทุกคดีต้องมีผลลัพธ์ การนัดชุมนุมครั้งนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวในสังคม เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้ทุกอย่างที่มีตามกฎหมาย ประชาชนประเทศชาติยากลำบากอยู่แล้ว ขอให้ทบทวนใหม่ ใครที่กลับใจเปลี่ยนใจได้ก็ขอบคุณ เมื่อถามว่าการชุมนุมดังกล่าวจะมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน พล.ต.อ.สุวัฒน์ตอบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ยอมให้มีการทำลายสมบัติของแผ่นดินเด็ดขาด ส่วนกรณีที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย ต้องตรวจสอบว่ามีการมาลักษณะรูปแบบใด