แม้ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยแค่ครึ่งใบ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่มีอำนาจที่แท้จริงในการเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศ แต่ ส.ส.ก็ยังมีสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์ และมีอำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล เช่น การใช้จ่ายงบประมาณจากภาษีประชาชน

ขณะนี้รัฐบาลกำลังพักการประชุมชั่วคราว จากผลการแพร่ระบาดของโควิด แต่ ส.ส.ก็ยังทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอยู่ โดยเฉพาะ ส.ส.ฝ่ายค้านที่เป็นกรรมาธิการในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 บางคนออกมาฟ้องประชาชนผ่านทางสื่อมวลชน ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคนชี้ให้ดูงบประมาณของกรมราชทัณฑ์

ในปีงบประมาณ 2565 กรมราชทัณฑ์ตั้งงบประมาณ เพื่อจัดซื้ออาวุธและอุปกรณ์ในการปราบจลาจล ไม่ทราบว่าจะซื้อไว้เพื่อปราบปรามนักโทษ หรือปราบปรามใคร แต่เรื่องที่เป็นประเด็นร้อนแรงทุกปี ได้แก่ งบประมาณการจัดซื้อเรือดำนํ้าของกองทัพเรือ ราคา 22,000 ล้านบาท ท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน

เป็นการขอจัดซื้อเรือดำนํ้าลำที่ 2 และลำที่ 3 ซึ่งโฆษกกองทัพเรือแถลงว่าเป็นการขอซื้อตามหน้าที่ และขอมาทุกปีนับแต่ถูกตัดไปเมื่อ 2 ปีก่อน แต่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม จากพรรคเพื่อไทย สงสัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม ผ่านเรื่องนี้มาได้อย่างไร

รัฐบาลอนุมัติให้ซื้อเรือดำนํ้าอีก 2 ลำ ในราคา 22,000 ล้านบาท และ ต้องมีงบการก่อสร้างท่าจอดเรือ โรงซ่อมเรือ และอื่นๆอีกเกือบ 10,000 ล้านบาท ในขณะที่ประเทศต้องเผชิญวิกฤติโควิด และวิกฤติเศรษฐกิจร้ายแรง ประชาชนเจ็บป่วยล้มตาย ต้องตกงาน และฆ่าตัวตายวันละเท่าไหร่

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยขู่ว่า จะแฉความไม่โปร่งใสของสัญญาซื้อขายเรือดำนํ้าที่อ้างว่าเป็นแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี แต่มีคนใกล้ชิดของผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องต้องติดตามดูกันต่อไป ลำพังการซื้อเรือ ดำนํ้าก็เป็นปัญหา รัฐบาลต้องตอบคำถามประชาชนว่าจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง ในการบริหารประเทศอย่างไร

...

ซึ่งถ้ามีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล เรื่องการตรวจสอบและถ่วงดุล ความคุ้มค่ากับภาษีประชาชนที่ต้องจ่ายไป และที่สำคัญอย่างยิ่ง อย่างหนึ่งคือ “ความรับผิดชอบ” ส่งผลกระทบจากโควิดและวิกฤติเศรษฐกิจ ประชาชนต้องเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ควร ชะลอการจัดซื้อที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนต่อไป.