ท่ามกลางเสียงเรียกร้องทั้งในสภาและนอกสภา ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากนายกรัฐมนตรี เสียงเรียกร้องพรรคร่วมรัฐบาลคือพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ให้ถอนตัวจากรัฐบาล เพื่อบีบบังคับให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ไม่ค่อยจะมีเสียงเรียกร้อง จะให้ใครมาเป็นนายกฯแทน
สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน เป็นยุคที่ประชาชนเบื่อหน่าย และเสื่อมศรัทธานักการเมือง และหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นผู้นำประเทศมาก ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนของนิด้าโพล สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ถามว่าอยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี เสียงส่วนใหญ่ 37.65% ตอบว่ามองไม่เห็นใคร
มีเพียง 19.32% ที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคะแนนนิยมที่ลดลง 9% จากผลสำรวจในไตรมาสแรก ที่ได้ 28% แต่ถ้ามีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ตามกติกา เดิม ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่แก้ไข พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกหลายกลุ่มขับไล่อยู่ในขณะนี้ มีสิทธิกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วยกลไกสืบทอดอำนาจ คือรัฐธรรมนูญ
มี ส.ว.หลายคนเถียงว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีจากเสียงข้างมากของ ส.ส. ไม่ได้มาจากการเลือกของ 250 ส.ว. ที่หัวหน้า คสช.แต่งตั้ง แต่ข้อเท็จจริงก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ได้รับเลือก ด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสองสภา คือ 376 เสียงขึ้นไป ไม่ใช่เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. คือ 251 ขึ้น
ระดับแกนนำของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยืนยัน พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ยุบสภาแน่นอน เพราะไม่มีเหตุผลจะต้องยุบ อีกทั้งมีความสามัคคีอย่างดี ในรัฐบาล แม้จะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ในขณะที่ประเทศต้องเผชิญวิกฤติรอบด้าน และนายกฯก็ประกาศไม่ยอมแพ้
ถ้ามีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ด้วยการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เชื่อว่าจะมีพรรคเล็กพรรคน้อยได้ ส.ส.เข้าสภา เช่นเดียวกับการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ที่มีพรรคการเมืองส่งสมาชิกสมัคร ส.ส. ถึง 76 พรรค ได้ ส.ส.แบบเบี้ยหัวแตกเข้าสู่สภา ตามด้วยรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ มีเรื่องกล้วยกับลิง
...
แม้รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม โดยไม่มีการยุบสภา ก็ต้องมีการเลือกตั้งตามกติกาเดิม 250 ส.ว.ยังอยู่ จนกว่าจะครบวาระในปี 2567 ส.ว.ยังมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีกี่ครั้งก็ได้ ถ้าหากจะมีการเลือกใหม่ ส่วนรัฐธรรมนูญไม่ต้องแก้ไข ปล่อยให้บทเฉพาะกาลสิ้นอายุ และฝากไว้ ซึ่งตราบาปการเมือง.