“ดาวพฤหัส” โคจรถอยหลัง แบบเหยียบมิดคันเร่ง ตามสภาพ “ดวงเมืองไทย” ถึงได้ตกอยู่ในห้วงวินาศสันตะโร เหตุวิปโยค โรคระบาด เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่ทันได้หยุดหายใจหายคอ
โควิดล้อมเมืองตึงเครียด อยู่ๆก็เกิดเหตุบึมสนั่นสะดุ้งทั้งเมือง เพลิงไหม้โรงงานเม็ดโฟมในจังหวัดสมุทรปราการ รัศมีความเสียหายกระจายเป็นวงกว้างนับ 10 กิโลเมตร คนอพยพหนีตายกันจ้าละหวั่น เพลิงโหมลุกไหม้ยาวข้ามวันข้ามคืน มีทั้งคนตาย คนหนีตาย
บรรยากาศสุดโกลาหล แบบที่ฝรั่งอุปมา “headless chicken” วิ่งกันพล่าน เหมือนไก่ที่โดนตัดคอแล้วยังวิ่งเป๋ไปเป๋มา มีแค่เจ้าหน้าที่ระดับล่างกำกับสถานการณ์หน้างาน สั่งการข้าราชการตัวเล็กตัวน้อย หน่วยบรรเทาสาธารณภัย จิตอาสา วิ่งดับไฟ ช่วยเคลื่อนย้ายประชาชนกันตามมีตามเกิด
ไร้การตั้งศูนย์บัญชาการ เบอร์ใหญ่ระดับประเทศไม่โผล่ ทั้ง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่คุมหน่วยบรรเทาสาธารณภัย หายเงียบ หรือรองนายกฯ ฝ่ายความ มั่นคง อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ไม่ได้ไปดูแลเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ท่ามกลางควันพิษกระจายเต็มท้องฟ้าราวกับฉากหนังฮอลลีวูด
ในจังหวะคราวซวยที่ผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลา-โหม ต้อง “กักตัว” จากการเสี่ยงติดเชื้อสูง ในคิวเซลฟี่กับผู้ร่วมอีเวนต์ ตีปี๊บโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”
พูดไม่ออก บอกไม่ถูก แทนที่จะได้โปรโมตคิวเดิมพัน 120 วัน เปิดประเทศ กลายเป็นข่าวผู้นำต้องกักตัวอยู่บ้านอย่างต่ำ 7 วัน เสียวสันหลังวาบในระดับเสี่ยงติดเชื้อสูง ต่อเนื่องกับภาพ ผู้นำกับรัฐมนตรีนั่งหัวเราะเฮฮาริมทะเล โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย โซเชียลฯด่ากันกระหึ่ม ลางร้ายตั้งแต่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส บินไปร่วมแจมฉากอีเวนต์ แต่ซวย เพราะผู้โดยสารไฟลท์เดียวกันติดโควิด เลยต้องกักตัว
...
เปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์รับทัวร์ แต่คนติดเชื้อกระจาย ใครจะกล้าเสี่ยงมา ในภาวะเดิมพันลุ้นได้เสีย แต่แค่เริ่มก็ส่อเสียมากกว่าได้ ก่อนอื่นเลยต้องลุ้นตัวโก่ง ถ้าแจ็กพอตแตก “บิ๊กตู่” บังเอิญติดเชื้อโควิดขึ้นมา ในเชิงบริหารราชการแผ่นดินอาจเกิดปัญหาสะดุด
ทั้งการสั่งการแก้ไขปัญหาไวรัสมรณะ และการเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ ณ วันที่มหาวิกฤติโควิดสร้างความเสียหายใหญ่หลวงเป็นประวัติการณ์โลก หนักสุดในไทย สังเวยชีวิตประชาชนทะลุ 2 พันศพไปแล้ว แนวโน้มฉุดไม่อยู่
เศรษฐกิจเจ๊งประเมินไม่ได้ จากการปิดเมือง ล็อกดาวน์ แต่มันยังมีเรื่องใหญ่มาก หากไม่โดนข่าวโควิดกลบ นั่นคือไทยถูกสหรัฐอเมริกาลดเครดิตการแก้ปัญหาค้ามนุษย์อยู่ในระดับ “เทียร์ 2 เฝ้าระวัง” ซึ่งหนีไม่พ้นกระทบภาคการส่งออกที่กำลังได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกกำลังโงหัว เพราะโควิดจัดการได้ในสหรัฐฯและยุโรป
เป็นอะไรที่รัฐบาลไทยเถียงไม่ขึ้น สร้างภาพ สร้างกระแส หลอก ฝรั่งไม่ได้ เพราะฉากประจานการค้ามนุษย์ชัดสุดคือคิว “ด่านแตก” หน่วยงานรัฐ ฟาดหัวคิวปล่อยแรงงานเถื่อนนำโควิดทะลักชายแดน
ไวรัสมรณะประจาน ทั้งฝีมือบริหาร ปมทุจริตคอร์รัปชันที่แฝงอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ โยงผลประโยชน์ทางการเมือง เป็นเรื่องความผิดพลาดที่รัฐบาล 3 ป.ไม่อาจปัดความรับผิดชอบ
โดยสถานการณ์ที่อาจารย์นิติศาสตร์มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย ขยับรุกไล่ ฟ้องร้องดำเนินคดีผู้นำฝ่ายบริหาร ฐานเลินเล่อ ทำคนตาย ประเทศเสียหายเลยจุดจะทนรับสภาพได้
และน่าจะไม่ใช่แค่ “บิ๊กตู่” ผู้ประกาศรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ตามเงื่อนไขต้องเอี่ยวไปถึง “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ที่โชว์วิสัยทัศน์ โควิดแค่ไข้หวัด โรคกระจอก
สุดท้ายโดน “ไวรัสกระจอก” เล่นงาน “ม่อยกระรอก” แม้แต่ข้าราชการฝ่ายปฏิบัติ ก็น่าจะอยู่ในข่ายโดนพ่วงด้วย โดยเฉพาะตัวละครสำคัญอย่าง นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ที่มีบทบาทในการพิจารณาการจัดหาวัคซีนโควิดตามคำสั่งที่นายกฯมอบหมาย แต่เท่าที่ติดตามข้อมูลข่าวย้อนหลัง นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2563 โควิดยังไม่เปลี่ยนชื่อจากไว้รัสอู่ฮั่น มีพัฒนาการวัคซีนหลายยี่ห้อเริ่มทดลอง
เปิดให้สั่งจอง หรือร่วมลงทุนในการวิจัย แต่ประเทศไทยเงี่ยบฉี่ ตรงนี้ถ้าหวังจะรอดตัวจากโดนพ่วงขบวน ถูกฟ้องข้อหาเลินเล่อ ฐานประมาทบริหารผิดพลาดทำคนตายเป็นพัน นพ.นครคงต้องเปิดหลักฐานดีลวัคซีน ความพยายามติดต่อกับบริษัทผู้ผลิตยี่ห้อต่างๆ เพื่อหักล้างกับเสียงครหา “แทงม้าตัวเดียว” ได้แค่แอสตราเซเนกา สุดท้าย ต้องพึ่งม้าสำรองยี่ห้อซิโนแวค
ไม่ต้องลึกไปถึงปมตุกติก อันดับแรกเลย แค่สไตล์อีโก้ ไม่ฟังใคร ขวางคลองการนำเข้าวัคซีน นำมาซึ่งความเสียหายต่อชีวิตประชาชน เศรษฐกิจของประเทศชาติ
หากเคลียร์ไม่ชัด หนีไม่พ้นต้องพ่วงขบวนรับผิดชอบเหมือนกัน.
ทีมข่าวการเมือง