“ล็อกดาวน์ตัวเองขั้นสูงสุด” ไม่จำเป็นอย่าออกจากบ้าน สัญญาณเตือนภัยขั้นร้ายแรง ตามข้อมูลของ “นายแพทย์ใหญ่” ระดับ พล.อ.ท.นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเตือนประชาชน
ผู้ป่วยโควิด-19 นอนโรงพยาบาล ล้นทะลักแซงโรงพยาบาลสนามแล้ว นั่นหมายถึงคนป่วยอาการหนักยอดมากกว่าผู้ป่วยรอสังเกตอาการ แนวโน้มสอดคล้องกับรายงานประจำวันของ ศบค.ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุกว่า 6,000 ราย คนป่วยโคม่าใส่ท่อหายใจ
ในห้องไอซียูเกินหลัก 1,000 ยอดคนตายทำนิวไฮขึ้นไปเกิน 60 ศพ ส่อไต่ระดับไปสู่หลักร้อยในไม่ช้า ยอดผู้ติดเชื้อสะสมของไทยแซงพรวดพราดมาอยู่อันดับที่ 65 ของโลก
โดยสถานการณ์ส่อใกล้ความจริงเข้าไปทุกขณะ ตามเสียงสะท้อนของ “หมอใหญ่” เตือนระบบสาธารณสุขของไทยกำลังจะล่มสลาย อารมณ์แบบที่รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขหลั่งน้ำตา ยอมรับวิกฤติไวรัสมรณะโควิด-19 เกินกำลังบุคลากรทางการแพทย์จะรับมือไหว
แนวรบด่านหน้า บุคลากรทางการแพทย์ใกล้ยกธงขาว
“ฝ่ายปฏิบัติ” สารภาพวิกฤติสงครามไวรัสหนักหนาสาหัสเกินกำลัง เอาไม่อยู่ และนั่นย่อมลามไปสู่ความรับผิดชอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ของฝ่ายบริหาร สถานการณ์ใกล้จนมุม ประจานความบ้อท่าในการรับมือวิกฤตการณ์
โดยเฉพาะกับบทแม่ทัพซิงเกิลคอมมานด์ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะหัวขบวน ศบค. ที่เหมาอำนาจสั่งการ “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
เลยต้องรับผิดก่อนใคร ตามปรากฏการณ์ได้ “ลุ้นเสียว” กับจังหวะขยับของอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยดัง โดยการนำร่องของรศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก แชร์โพสต์ต่อโดย รศ.ดร.เอื้ออารีย์ อิ้งจะนิล รองคณบดีคณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
...
ฟันธงถึงเวลาที่ศาลต้องสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายในการเอาผิดกับผู้บริหารสูงสุดของรัฐในการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินที่ผิดพลาดจนก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประชาชน
การเพิกเฉยไม่ทบทวนผลลัพธ์ของการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด การไม่รับฟังข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาอย่างรอบด้าน และความล่าช้าในการดำเนินการแก้ปัญหาทั้งที่มีอำนาจ เบ็ดเสร็จ
เป็นพยานหลักฐานที่ชี้ชัดถึงการ “งดเว้น” หน้าที่ที่พึงต้องกระทำ และ “จงใจ” ที่จะให้ ความเสียหายดำรงอยู่ต่อเนื่องไป การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนี้เลยระดับของความประมาทเลินเล่อแล้ว
ส่อแนวไล่ฟ้องผู้นำ ฐานจัดการโควิดพลาด เจตนาทำคนตาย “ข้อหาร้ายแรง” ไม่ใช่เล่น เพราะคิวนี้ไม่ใช่ “นักร้องอาชีพ” ที่โหนกระแส เหวี่ยงแหหวังผลฟลุก แต่เป็นเรื่องซีเรียสของเหล่าคณาจารย์ด้านกฎหมายชั้นอ๋อง ที่ต้องการสร้างบรรทัดฐาน
ไม่ปล่อยให้ประชาชนคนไทยต้องเผชิญชะตาโหดตามยถากรรม ตามฉากเปรียบเทียบกันชัดๆ วิกฤติโรคระบาดไวรัสมรณะโควิดเหมือนกันทั่วโลก แต่วิบากของประชาชนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกึ๋น มันสมองของผู้นำในการจัดการสถานการณ์
ความเสียหายต่างกันเห็นได้ชัด แม่แต่กับประเทศที่ล้าหลังกว่าไทย และยิ่งเป็นอะไรที่ฟ้องกันด้วยภาพข่าวประจาน “ลูกมั่ว” การบริหารจัดการวัคซีนที่โยนขี้กันกระจายเหม็นหึ่งไปหมด กับปรากฏการณ์ที่อัยการ สูงสุดปัดเผือกร้อน ไม่ได้รับร่างสัญญาจัดซื้อวัคซีนทางเลือกยี่ห้อโมเดอร์นาจากองค์การเภสัชกรรม ตามที่มีการอ้างความล่าช้าอยู่ที่อัยการ

สาวกันไปสาวกันมา ก่อนที่องค์การเภสัชฯจะรีบส่งสัญญาโมเดอร์นาให้อัยการตรวจเสร็จใน 1 วัน ปมวัคซีนคลุมเครือยังลามไปถึงคิวที่หมอใหญ่ อย่าง ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ กับ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ออกมาตอบโต้ข่าวที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข งัด ลูกโบ้ย การพิจารณาเรื่องวัคซีนในประเทศไทยจะต้องผ่านความเห็นจากคณะกรรมการวิชาการวัคซีน ที่มี ศ.พญ.กุลกัญญา ศ.นพ.ยง และ รศ.นพ. ทวี โชติพิทยสุนนท์ เป็นกรรมการ แล้วจึงแจ้งมติมายังสาธารณสุข
ก่อนที่ “เสี่ยหนู” จะออกมาโยนความผิดให้สื่อพาดหัวให้ตีกัน แต่นั่นก็ต่อเนื่องกับปมร้อนจนควันขึ้น เอกสารหลุด ผลการประชุมเฉพาะกิจร่วมระหว่างคณะกรรมการด้านวิชาการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะทำงานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน ณ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
คาดว่าประเทศไทยจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคม จำนวน 1.5 ล้านโดส และไตรมาสที่ 4 รวม 20 ล้านโดส โดยมีความเห็นแนบท้าย ถ้าหากฉีดไฟเซอร์ให้กลุ่มด่านหน้า บุคลากรทางการแพทย์ แสดงว่าเรายอมรับว่าวัคซีนซิโนแวค ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น
กระตุกแรงกระเพื่อมหนักในหมู่บุคลากรทางการแพทย์ หันมาร่วมอัปเปหิรัฐบาล “หมอ” ไม่ทนกับตรรกวิบัติของฝ่ายบริหารที่เน้นเรื่องกระแสมากกว่าความเป็นความตายของบุคลากรที่เสี่ยงอยู่ด่านหน้า ธาตุแท้ฝ่ายการเมืองที่หวังแต่ลากยาวอำนาจ.
ทีมข่าวการเมือง
