สัปดาห์นี้ถือเป็นสัปดาห์แห่งการลุ้นระทึกต่อ “อนาคตประเทศไทย” จะเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่ดีขึ้น หรือถอยหลังไปสู่ประชาธิปไตยครึ่งใบอย่างเก่า เพื่อต่ออำนาจ คสช. ต่อไปภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า จะแถลงและลงมติในวันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม เวลา 09.30 น. กรณีที่มี ส.ส. และ ส.ว. ขอให้ประธานรัฐสภา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ก่อนที่รัฐสภาจะมีการลงมติวาระ 3 ในวันที่ 17 มีนาคม โดยศาลได้ขอความเห็นผู้เชี่ยวชาญ 4 คน คือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานร่างรัฐธรรมนูญ 2560 นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ นายอุดม รัฐอมฤต โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง พรรคฝ่ายค้านและคณะส่งความเห็นให้ศาลด้วย
ก็เป็นเรื่องแปลกที่ ส.ส. ส.ว. ไม่รู้อำนาจหน้าที่ของตัวเองในรัฐสภาว่าจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ต้องให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ก็ไม่รู้จะเป็น ส.ส. และ ส.ว. ทำไมให้เปลืองเงินภาษีประชาชน
ประเด็นสำคัญที่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. ตั้งใจขัดขวางก็คือ การเลือกตั้ง ส.ส.ร. หรือสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 200 คน เพื่อทำหน้าที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ดังนั้นไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาให้ทำได้หรือทำไม่ได้ ก็ไม่พ้นตาข่ายอำนาจที่วางไว้อยู่ดี ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดย ส.ส.ร. สามารถทำได้ ก็ยังต้องรอ การลงมติวาระ 3 ของรัฐสภา ซึ่ง ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้าน รัฐธรรมนูญ 2560 ยังกำหนดให้ ต้องได้เสียงจาก ส.ว. อีก 84 เสียง ซึ่งเป็นไปได้ยากยิ่ง แต่ถ้า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ ก็เท่ากับ ศาลรัฐธรรมนูญคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
...
เห็นไหมครับ การแก้ไขมาตรา 256 เพียงมาตราเดียว ยังยากลำบากขนาดนี้ ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 มาตราที่กระทบต่อการต่อท่ออำนาจ คสช.จะยากลำบากขนาดไหน มิพักต้องไปพูดถึงการพัฒนาประเทศที่กำลังล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านไปทุกด้าน

แต่กับดักยังไม่จบแค่นี้ ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แก้ไขได้ และ รัฐสภาลงมติผ่านวาระ 3 การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังเดินหน้าไม่ได้อยู่ดี เมื่อ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายรัฐบาล เปิดเผยถึงอีกกับดักที่วางไว้คือ จะต้องเข็น “กฎหมายประชามติ” ออกมาให้ได้เสียก่อน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ ถ้าไม่มีกฎหมายประชามติรองรับ ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ ที่สำคัญเงื่อนไขกฎหมายประชามติจะออกมายากง่ายอย่างไร
การตัดสินของ ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีผลต่อ พรรคประชาธิปัตย์ อย่างมีนัยสำคัญ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็โล่งอก ถือว่าไม่ผิดคำพูด ยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันต่อทุกองค์กร แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าทำได้ แล้วรัฐสภาไม่ผ่านการลงมติวาระ 3 พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องพิจารณาตัวเองตามที่พูดไว้ คือ ถอนตัวออกจากรัฐบาล ซึ่งอาจนำไปสู่ การยุบสภา ก็ได้
เกมการเมืองนี้ จึงไม่เป็นผลดีต่อชาติบ้านเมืองในยามวิกฤติเช่นนี้ การเล่นการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์แบบนี้ จะส่งผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชนในระยะยาว
ผมได้แต่แอบหวังว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ด้วย ส.ส.ร. 200 คน ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่ดีขึ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง.
“ลม เปลี่ยนทิศ”