แม้อากาศในหลายจังหวัดของประเทศจะหนาวเย็น แต่บรรยากาศทางการเมืองในกรุงเทพฯกลับร้อนแรงอย่างน่ากลัว จากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศจะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตรา ต่อผู้ชุมนุมผู้กระทำความผิด เพิกเฉยต่อสิทธิเสรีภาพของคนอื่น
ส.ส.พรรคฝ่ายค้านบางคนระบุว่า คำประกาศของนายกรัฐมนตรี ประกาศสงครามกับประชาชน ขณะที่คณะราษฎรประกาศชุมนุมใหญ่ที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จากคำประกาศของนายกรัฐมนตรี จะใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตรา ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล เรียกร้องให้ใช้ ป.อาญามาตรา 112
การบังคับใช้กฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล มีเสียงเรียกร้องมาเป็นเวลาช้านาน ให้รัฐบาลใช้กฎหมายทุกฉบับ และทุกมาตรา แต่ต้องใช้กับทุกคน และทุกกลุ่มโดยเสมอหน้า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27 ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน”
ความหมายอีกอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตยคือ “การปกครองด้วยกฎหมาย” ยึดถือกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดตัวบุคคลหรือผู้นำเป็นใหญ่ และต้องใช้กับทุกคนโดยเสมอหน้า ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ลูบหน้าปะจมูก แต่การปกครองประเทศไทยขณะนี้ คำว่า “นิติธรรม” เป็นแค่วาทกรรม แต่เลือกปฏิบัติ
ถ้าจะให้การปกครองบรรลุถึงนิติธรรม จะต้องปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ เริ่มต้นด้วยการแก้ไข หรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ที่เป็นประชาธิปไตยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเมืองอย่างแท้จริง รับประกัน สิทธิเสรีภาพ ต้องไม่เป็นประชาธิปไตยแค่ครึ่งใบ ต้องไม่ใช่รัฐธรรมนูญรับประกันเสรีภาพ แต่กฎหมายลูกห้ามชุมนุม
การปฏิรูปการเมืองต้องไม่ใช่เพียงตัวอักษรบนแผ่นกระดาษ แต่จะต้องปฏิบัติจริงโดยมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง ต้องปลูกฝัง “วัฒนธรรมการเมือง” ที่เป็นประชาธิปไตยไม่ยอมรับประเพณี “การฉีก” รัฐธรรมนูญ แต่สนับสนุน “การแก้ไข” รัฐธรรมนูญ ถ้าใช้มาตรา 112 ก็ต้องใช้มาตรา 113 ที่อยู่ติดกันด้วย จึงจะเป็นประชาธิปไตยแท้
...
คำขวัญของประเทศ คือ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ก็ควรจะทำให้ถูกต้องครบถ้วนเหมือนเดิม หลังการเปลี่ยน-แปลงการปกครอง 2475 คณะราษฎรประกาศคำขวัญ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ” แต่คำว่า “รัฐธรรมนูญ” ถูกยกทิ้งไปในยุคเผด็จการเต็มใบรัฐธรรมนูญคือแม่บทของระบอบประชาธิปไตย.