“วิกฤติ” มีแต่เสียโอกาส ทั้ง “ไทย-สหรัฐฯ” ฝ่าย หนึ่งก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ อีกฝ่ายหนึ่งก็บริหารงานไม่ได้ “ประยุทธ์” วันนี้เลยไม่ต่างไปจากผู้นำที่ดูแลราชการเท่านั้น แต่ “ชวน” คุมเกมการเมืองแทน
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ที่สหรัฐอเมริกายังยื้อกันไม่จบเมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
ดิ้นสุดตัวด้วยข้ออ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง และลุยฟ้องให้นับคะแนนใหม่

“คนเก่า” ก็ยังอยู่ “คนใหม่” เข้าทำงานไม่ได้
ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของประเทศที่เรียกตัวเอง “ต้นแบบ” ประชาธิปไตยสากลซึ่งมีมาตรฐานและรูปแบบที่ชัดเจน
ที่สำคัญแต่ละรัฐยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการว่า “ทรัมป์” หรือ “โจ ไบเดน” ใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริง
แม้ผลคะแนนนั้นชัดเจนแล้วก็ตาม
...
ขั้นต่อไปจะต้องให้สภาสูงรับรองอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นก็จะเข้าสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในต้นปีหน้า
นั่นแหละถึงจะเข้ารับหน้าที่อย่างสมบูรณ์
“เลือกตั้งแพ้” แต่ “คนไม่แพ้” มันก็ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่
ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือผู้นำหลายประเทศในระดับมหาอำนาจยังไม่ได้แสดงความยินดีไปยัง “โจ ไบเดน” แม้จะมีอีกหลายประเทศปฏิบัติกันไปแล้ว
คงประเมินสถานการณ์แล้วว่าต้องรอให้มีความชัดเจนอย่างเป็นทางการก่อนถึงจะว่ากันเพราะในฐานะประเทศใหญ่ด้วยกัน
ลีลาทางการทูตจึงต้องสงวนท่าทีเพราะอาจจะหน้าแตกเอาได้ง่ายๆ
ว่าไปแล้วชาวอเมริกันที่ให้คำตอบจากการสำรวจความคิดเห็นของโพลต่างๆค่อนข้างจะตรงกันว่า “ทรัมป์” แพ้แล้ว ก็ควรจะยอมลงจากตำแหน่งโดยดี
หรือแม้กระทั่งในครอบครัวต่างก็ส่งเสียงตรงกันว่าควรจะยอมได้แล้วเพื่อให้ผู้นำคนใหม่ได้เข้ามาบริหารประเทศแทน
สหรัฐฯนั้นมีอีกหลายปัญหาที่ยังค้างคาอยู่?

แค่ “โควิด-19” ที่ “โจ ไบเดน” ได้ ประกาศแผนงานในการแก้ไขก็ได้วางเอาไว้แล้วค่อนข้างชัดเจนและแตกต่างจาก “ทรัมป์” แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
จนบัดนี้ก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงเตือนให้สวมหน้ากากและทิ้งระยะห่างเพื่อเป็นการป้องกันได้เท่านั้น
ขณะที่การแพร่ระบาดนั้นหนักขึ้นทุกวันแบบวันเดียวติดเชื้อกันนับแสนๆคน
พูดไปก็เป็น “วิกฤติ” ไม่ต่างกับประเทศไทยเท่าใดนัก
ที่บ้านเราแม้ สมช.จะประเมินตัวเลขผู้ชุมนุมมีจำนวนลดลง ทำให้บรรดาผู้มีอำนาจต่างก็พอใจ เพราะมันเท่ากับว่าใกล้จะถึงวาระสุดท้ายกันแล้ว
แต่แกนนำบอกว่า “นี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้น” เท่านั้น จากนี้ไปจะมีจำนวนมากขึ้นและสุดท้ายพวกเขาจะชนะแน่
ที่น่าสังเกตอันหนึ่งว่ากันโดยรวมแล้ว “คน” ที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเมือง ณ เวลานี้ กลับกลายเป็นคนชื่อ “ชวน หลีกภัย” ไม่ใช่ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เสียแล้ว
นายกฯทำหน้าที่ “ปลัดประเทศ” คือบริหารราชการเท่านั้น
เพราะปัญหาทุกอย่างถูกโยนเข้าสภาที่วางขอบข่ายเอาไว้ 2 เรื่องใหญ่ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์
เท่ากับกันตัวนายกฯหลีกพ้นจากการถูก “ไล่” ไสส่ง
17-18 พ.ย.63 ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งได้มีการวางแนวทางการดำเนินการเอาไว้อย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
จะไปเข้มข้นกันในสภาว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ผู้ชุมนุมก็จะยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุดจนไปบรรจบกันในสภานั่นแหละ!!!
“ลิขิต จงสกุล”