ฟังจาก “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ปาฐกถาพิเศษในงานดินเนอร์ทอล์ก SHARING OUR COMMON FUTURE “ร่วมแรง เปลี่ยนแปลง แบ่งปัน” ที่ “ไทยรัฐกรุ๊ป” จัดขึ้นเมื่อค่ำวันก่อน
บนเวทีปาฐกถาพิเศษ “ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยปี 2564” รองนายกฯฟันธง “เศรษฐกิจปีหน้าฟื้นตัวแน่”
ระดับหัวจักรสำคัญในทีมเศรษฐกิจข้างกาย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว. กลาโหม ประเมินแล้วชี้สัญญาณบวก พ.ศ.หน้า ได้ลืมตาอ้าปาก ไม่ท้องกิ่วไส้แห้งหนักหน่วงอย่างที่แหยง
อนุญาตให้คนไทยได้คึกคัก มีความหวังกันได้
กระนั้นก็ดี “รองฯสุพัฒนพงษ์” ไม่ได้แค่นั่งรอ แต่ในฐานะหน้าที่หนึ่งในกลไกฝ่ายบริหารรัฐบาลลุงๆต้องปั่นงาน นอกจากแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ออกสารพัดมาตรการอัดฉีดกระตุ้นใช้จ่าย อุ้มปากท้องชาวบ้าน
ยังมองไปถึงยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยปี 2564 ต้องพึ่งการลงทุนในประเทศ
ดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ๆมาลงทุนเปลี่ยนจากที่อาศัยการท่องเที่ยวเป็นหลักและส่งออกสินค้าเดิมๆมาเป็นสินค้าของอุตสาหกรรมใหม่
พิมพ์เขียวยุทธศาสตร์แผนงานชัด ปัจจัยเอื้อด้วย “วัคซีน” โควิด-19 ที่กำลังมา แต่ที่ไม่ชัดคือภาคปฏิบัติ กลไกขับเคลื่อนตามแผน โจทย์ใหญ่ที่ทั้ง “บิ๊กตู่” และ “สุพัฒนพงษ์” ต้องไล่ขันนอตในจุดที่เริ่มหลวม

...
โดยเฉพาะโฟกัสไปที่เศรษฐกิจ–อุตสาหกรรมใหม่ ที่ต้องพลิกเปลี่ยนโฉมนำเทคโนโลยี โดยเฉพาะ 5 จี มาขับเคลื่อนประเทศ เข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 เศรษฐกิจดิจิทัล การค้าขายออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ
แม้นโยบาย พิมพ์เขียว ยุทธศาสตร์ ตีธงตรงกัน ตั้งแต่ผู้นำรัฐบาล แต่เอาเข้าจริง การขับเคลื่อนนโยบายดูจะยังไม่ทันยุคเทคโนโลยีดิสรัปชันที่ปรับเปลี่ยนรวดเร็ว
ในห้วงภาคเอกชนมีความพร้อมจะก้าวกระโดดสู่โลกยุคใหม่เต็มพิกัด ภาครัฐยังแค่เหวี่ยงแขนตั้งท่า
แค่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ อี-กัฟเวอร์เมนต์ ก็ยังไม่เต็มรูปแบบ
แนวทางการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 เศรษฐกิจดิจิทัล ยังต้วมเตี้ยม ไม่นำ ยังวิ่งไม่ทันภาคเอกชนที่เริ่มวางโครงข่าย เปิดพื้นที่ทดลองทดสอบการพัฒนานวัตกรรม ต่อยอดการใช้งานเทคโนโลยีในยุคที่ 5
5 จี ที่เปิดประมูลเมื่อต้นปี 2563 เสี่ยง “เสียของ”
คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ที่นายกฯเป็นประธาน ประชุมไปนัดเดียว มอบโจทย์ให้แต่ละกระทรวงไปศึกษารูปแบบ “ต่อยอดการใช้งาน 5 จี” ที่ประเทศไทย “ยืนหนึ่ง” ในอาเซียนและใกล้เคียงประเทศยักษ์ใหญ่
วันนี้ยังรอคิวว่างจาก “ผู้นำ” ประชุมตีธงขับเคลื่อน 5 จี เสียที
ไม่เท่านั้น หลายงานค้างคาใน กสทช. ที่รอกระบวนการสรรหา 7 อรหันต์ชุดใหม่ ที่จะเข้ามากำกับดูแล คลอดกฎเกณฑ์กติกากระบวนการก็ยังเป็นไปตามปกติ ชนิดกว่าจะได้บุคลากร “ตัวจริง” เข้าทำงานแทนชุดรักษาการตามมาตรา 44 ที่
แม้แต่สั่งคุมสื่อที่ผิดกฎหมายก็ยังโดนสวนหน้าหงาย ถึง “อำนาจ–ความชอบธรรม”
หากเดินตามโปรแกรมรูทีนเป๊ะ อาจต้องรอ 7 อรหันต์ กสทช.ไปถึงกลางปีหน้า
ไม่ทันยุคทันเทคโนโลยีที่ไปไว 3 เดือน-6 เดือนก็เปลี่ยนไปมากแล้ว
ฉะนั้นโจทย์ที่ตั้งไว้ คำตอบคือ “ภาคปฏิบัติ” การขับเคลื่อนของทุกฝ่าย
กับงานที่รออยู่ “บิ๊กตู่” แต่งแบ่งหลายหน้า โดยเฉพาะที่หันเหไปเร่งเคลียร์เฉพาะหน้ากับสถานการณ์การชุมนุมต่อต้านรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้วิกฤติด้วยเวทีพื้นที่พูดคุยสร้างความสมานฉันท์
แต่อย่างที่ทุกคนรู้ และผู้นำก็ทราบ “ปมเศรษฐกิจ” และปากท้องชาวบ้าน เว้นวรรคหรือผ่อนมือไม่ได้
ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอีกปัจจัยเร้าองศาเดือดการเมือง
ล่าสุดที่ผู้นำต้องเอ่ยปากห่วงประเทศต่อไปจะไปอยู่ตรงไหน มากกว่าห่วงสถานะตำแหน่งตัวเอง และยังบ่นถึงข้อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตย ที่ยังมีข้อจำกัดสำหรับตัวเอง
“มีอำนาจก็เหมือนไม่มี”
ในจุดที่ประคองอยู่บนคานทรงตัวอำนาจ แรงกดดันทั้งซ้าย–ขวา ทั้งบน–ล่าง ถั่งโถมรอบทิศ
แต่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฟื้นฟูประเทศ “บิ๊กตู่” มีอำนาจในมือพอสมควร ในการสั่งเหยียบคันเร่งในภาคปฏิบัติฟื้นเศรษฐกิจ ปรับสู่แนวใหม่ยุคใหม่
อาจพลิกเกม จาก “ตัวฉุด” เป็น “ตัวช่วย” แก้ปมร้อนที่พุ่งเข้าหาได้เหมือนกัน.
ทีมข่าวการเมือง