รัฐสภาเร่งพิจารณาร่างแก้ไข รธน. 7 ฉบับ “ชวน” ยันบรรจุญัตติ ส.ส.-ส.ว.ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ 3 ร่าง รธน.หลัง 18 พ.ย. “เลขาฯ พปชร.” วอนอย่าตั้งแง่ผูกเงื่อนเวลาเป็นประเด็นการเมือง พท.จวกรัฐบาลใช้เทคนิคกฎหมายยื้อ ซัดไม่จริงใจสร้างเงื่อนไขขยายไฟขัดแย้ง “อุ๊ หฤทัย” พามวลชนไปสภาฯขวางแก้ รธน.อ้างกลุ่มทุนต่างชาติหนุนหลัง แก้ รธน.เปิดช่องโกง ไม่แก้ปัญหาปากท้อง “อนุชา” ชี้เสื้อเหลือง จ.นครฯล้อมรถล่า “ธนาธร” พันการเมืองใหญ่ “ก้าวไกล” โวยพวกดึงฟ้าต่ำหยุดใส่ร้าย ตร.รอรวบรวมหลักฐานเข้าข่ายคุกคามหรือไม่ “รุ้ง-เพนกวิน” ยันม็อบราษฎรไม่มีแผ่ว ชาร์จแบตเต็มที่ลั่นจากนี้ลุยต่อลุยหนัก 15 พ.ย.ขึ้นเวทีระยอง “แอมมี่” บอกช่วงนี้นักเรียน-นักศึกษาติดสอบงดกิจกรรมใหญ่ “กลุ่มคณะราษฎรบอมบ์” จัดอีเวนต์ย่อยจี้จัดเลือกตั้งท้องถิ่นให้โปร่งใส ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเตรียมเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทั้ง 7 ฉบับ โดยนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ระบุยังไม่มีการบรรจุญัตตินายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว.ที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของร่างรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับและร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ แต่จะไปบรรจุหลังวันที่ 18 พ.ย.
“ชวน” ยังไม่บรรจุญัตติยื่นศาล รธน.
เมื่อเวลา 08.15 น. วันที่ 12 พ.ย. ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวถึงความคืบหน้าบรรจุญัตติขอให้รัฐสภามีมติส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าขัดกฎหมายหรือไม่ว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ได้หารือวิป 3 ฝ่ายเห็นตรงกันว่าให้นำเฉพาะเรื่องรัฐธรรมนูญ และย้ำกันว่าวันที่ 17-18 พ.ย. จะบรรจุเฉพาะเรื่องที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วและร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนญัตติของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบร่างรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับและร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติจะบรรจุหลังวันที่ 18 พ.ย. ขั้นตอนการลงคะแนนรับหรือไม่รับหลักการร่างแก้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ทั้ง 7 ฉบับ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าต้องได้รับความเห็นชอบด้วยเสียงวุฒิสมาชิก (ส.ว.) 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง เพื่อความรวดเร็วเจ้าหน้าที่รัฐสภาจะดูขั้นตอนนับคะแนนด้วยการกำหนดสีพิเศษ เพื่อให้เห็นว่าจำนวนวุฒิสภาชิกมีจำนวนเท่าไหร่ หากนับรวมกันหมดจะนับยาก หากนับทั้งกว่า 700 คน จะแยกผลคะแนนระหว่าง ส.ส.และ ส.ว.อาจมีปัญหา จึงพยายามทำให้พิเศษ เพื่อยกให้เห็นชัดเจน และเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการนับคะแนน เพราะหลังลงคะแนนเจ้าหน้าที่ต้องมานับคะแนนอีกครั้งอาจต้องใช้เวลาแยกใบขานชื่อ ส.ว.จากใบรายชื่อ ส.ส.
...
นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษานายชวน
หลีกภัย ประธานสภาฯกล่าวถึง กรณีที่นายชวนจะให้ใช้สีพิเศษให้ ส.ว.ลงคะแนนในการโหวตลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าหมายถึง การแยกใบบันทึกการลงคะแนนที่เป็นรายชื่อของ ส.ว.ออกมาเป็นสีแดงโดยเฉพาะ แยกออกจากใบรายชื่อของ ส.ส. เพื่อให้หลังการขานชื่อลงมติแล้ว คณะกรรมการตรวจนับคะแนน สามารถนับคะแนนได้ง่าย ไม่ให้เกิดความสับสน เนื่องจากจะต้องใช้เสียง ส.ว.84 เสียงในการเห็นชอบการรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

“อุ๊”นำมวลชนแถลงต้านแก้ รธน.
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา น.ส.หฤทัย ม่วงบุญศรี ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มไทยภักดี พามวลชนจำนวนหนึ่งมาแสดงพลังและอ่านแถลงการณ์ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดย น.ส.หฤทัยประกาศจุดยืน 3 ข้อว่า 1.เรียกร้องให้ยุติกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 มีข้อมูลว่าผู้สนับสนุนให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีกลุ่มทุนต่างชาติอยู่เบื้องหลัง จะกระทบต่ออธิปไตยของคนไทย ทั้งที่คนไทยมากกว่า 16 ล้านคนลงประชามติเห็นชอบรัฐธรรมนูญ ทำให้ประเทศอ่อนแอ จนเกิดการแทรกแซงในที่สุด จะไม่ยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเด็ดขาด 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ช่วยแก้ปัญหาปากท้องประชาชน แต่ต้องการยกเลิก ส.ว.กุญแจสำคัญในฐานะเป็นองค์กรเลือกบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระเพื่อไปทำหน้าที่ปราบการทุจริต การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นไปเพื่อเกิดการทุจริต 3.หากแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีการพยายามแก้เนื้อหาในหมวดสถาบันที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยที่จะถูกล่วงละเมิดไม่ได้
“วิษณุ”ยันศาลรับเรื่องก็ไม่สะดุด
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเสียงวิจารณ์รัฐบาลไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะ ส.ส.ซีกรัฐบาลและ ส.ว.บางส่วนยื่นตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเรื่องนี้พูดยาก เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นของ ส.ส.ไม่ใช่ของรัฐบาล เขาถือว่าไม่ทำตอนนี้อาจมีคนทำในอนาคตอาจสายเกินแก้ ส่งตอนนี้อาจประหยัดเวลามากกว่าเพราะเป็นภาคบังคับถ้าออกเสียงประชามติเสร็จแล้วรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ระบุหากมีสมาชิกรัฐสภาสงสัยมีสิทธิ์เข้าชื่อให้ศาลวินิจฉัยภายใน 30 วัน ถ้าส่งตอนนี้อาจจะประหยัดเวลา 1 เดือนนั้นไป มีอะไรตอนนี้ยังแก้ไขได้ทันกันไว้ดีกว่าแก้ ดูแล้วไม่สะดุดอะไร หากร่างผ่านวาระ 1 ต้องตั้งกรรมาธิการ 1 เดือน หากส่งศาลรัฐธรรมนูญสำเร็จเรื่องไปอยู่ในศาล ถ้าศาลบอกไม่ขัดก็เดินหน้า ไปรอทำประชามติคาดว่า พ.ร.บ.ประชามติจะออกช่วงเดือน ก.พ.64 ต้องรอดูศาลจะรับหรือไม่ มีเยอะแยะไปที่ศาลไม่รับเหมือนมีเรื่องกันแต่ยังไม่เกิดเหตุศาลก็ไม่รับ ร่างที่ยื่นมีประเด็นว่าการทำประชามติจะมีก่อนหรือหลังรับหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ด้วย หากถามแค่ตั้ง ส.ส.ร.หรือไม่ศาลคงไม่รับ ยืนยันรัฐบาลผลักดันแก้รัฐธรรมนูญ อย่างน้อยก็ร่างพรรคร่วมฯ แต่ไม่กล้าพูดถึงฉบับอื่นวอนอย่าตั้งเงื่อนเวลาบีบเป็นประเด็น
นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึง การแก้รัฐธรรมนูญว่า เป็นสิ่งที่ทุกคนจะมาร่วมกันพาประเทศไปสู่การแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ ทุกฝ่ายพยายามทำกันอยู่ ยืนยันเรามีเจตนารมณ์ชัดเจน ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ พรรคร่วมรัฐบาลหรือแม้กระทั่งพรรคร่วมฝ่ายค้าน ขออย่างเดียวอย่าตั้งแง่แก้รัฐธรรมนูญ ตั้งเงื่อนไขว่าทุกฝ่ายจะได้ตามที่ตัวเองต้องการทุกข้อ ต้องมีความพอดีที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แท้จริง ไม่ใช่กำหนดวันเวลาเพื่อมาตั้งเงื่อนไขเป็นประเด็นทางการเมือง ขอให้เชื่อมั่นได้เลยว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่นอน แต่หากถึงเวลาแล้วไม่แก้รัฐธรรมนูญตอนนั้นค่อยมาต่อว่ารัฐบาล
พท.สับรัฐบาลใช้เทคนิค ก.ม.ยื้อเวลา
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน กล่าวว่า แม้ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับ ส.ว.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ตามมาตรา 256 ว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือไม่ ในส่วนของการดำเนินการในสภาก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนในวาระรับหลักการ จะมีปัญหาในชั้นกรรมาธิการหรือไม่ คงต้องรอว่าศาลจะตัดสินออกมาอย่างไร เป็นการใช้เทคนิคของกฎหมายเพื่อยื้อเวลาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล ไม่สมกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม บอกรัฐบาลจะรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงการพูดให้ผ่านไปเท่านั้น
จวกสร้างเงื่อนไขยิ่งขยายไฟขัดแย้ง
“รัฐบาลต้องจริงใจกับประชาชน ไม่ควรปล่อยให้ ส.ส. และ ส.ว.มาดำเนินการเช่นนี้ จะมาอ้างว่าสั่งไม่ได้คงไม่มีใครเชื่อ เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาชี้ชัดว่าสามารถสั่ง ส.ว.ได้ ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะบอกว่าไม่รู้คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะสมาชิกไปลงลายมือชื่อเป็นจำนวนมาก จะรับผิดชอบหรือไม่คงไม่สามารถบอกได้ แต่ขอเตือนด้วยความหวังดีว่าบรรดา ส.ส.ที่ไปลงลายมือชื่อ ควรที่จะคิดหน้าคิดหลังให้ดีไม่ควรที่จะสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมไทยอีกเลย เพราะไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ” นายสมคิดกล่าว

“อนุชา” ชี้ไล่ล่า “ธนาธร” พันการเมืองใหญ่
เมื่อเวลา 12.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเหตุการณ์กลุ่มคนเสื้อเหลือง จ.นครศรีธรรมราช ก่อเหตุล้อมทุบรถไล่ล่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ขณะลงพื้นที่หาเสียงนายก อบจ.นครศรีธรรมราช ว่า เป็นเรื่องการเมืองใหญ่ไม่ใช่เรื่องท้องถิ่น เป็นความแตกแยกทางความคิดที่สุดโต่งไปของแต่ละฝั่ง กังวลปัญหาความคิดสุดขั้วเกินไป ต้องประนีประนอมและหาข้อยุติ อยากให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงความผาสุกของประชาชน ถอยคนละก้าว
“วรงค์” แซะอย่าท้าทายศรัทธา ปชช.
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.และหัวหน้ากลุ่มไทยภักดีโพสต์เฟซบุ๊กหัวเรื่อง “#อำนาจแห่งศรัทธา” ใจความว่า ปรากฏการณ์ที่ประชาชนหลายจังหวัด และล่าสุดที่เมืองคอน รวมตัวกันอย่างธรรมชาติ ออกมาขับไล่คุณทอนด้วยข้อความล้มเจ้า หนักแผ่นดิน เนรคุณแผ่นดิน แต่คุณทอนไปตีความว่าประชาชนตกหลุมพรางสร้างฝันร้ายให้กลัว คิดว่าคุณทอนกำลังตีโจทย์ผิด คุณรู้จักคำว่าศรัทธาหรือไม่ รู้ไหมว่าคุณกำลังท้าทายต่อศรัทธาของประชาชน เพราะเขาก็บอกคุณชัดเจนไม่ใช่หรือว่า คุณอยากจะทำอะไร อยากจะพัฒนาอะไรก็ทำ แต่อย่ามาจาบจ้วงสถาบันฯ แค่นี้ถ้ายังตีโจทย์ผิด ไม่เข้าใจก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ขอย้ำว่าอย่ามาท้าทายกับศรัทธาของประชาชน #อย่าท้าทายศรัทธาของประชาชน #ปฏิรูปเท่ากับบั่นทอน
กก.โวยพวกดึงฟ้ามาต่ำหยุดใส่ร้าย
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจหัวหน้าคณะก้าวหน้า ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช แล้วถูกประชาชนสวมเสื้อเหลืองไปล้อมรถว่า บุคคลโดยเฉพาะฝั่งรัฐบาลต้องหยุดใส่ร้ายคนเห็นต่างเพื่อหาความชอบธรรมอ้างอิงเหตุผลที่ตนเชื่อได้แล้ว อาทิ นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเวรกรรมตามนายธนาธร เพราะนายธนาธรมีหลักคิดจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ อยากสื่อสารไปว่านอกจากจะนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือเพื่อใส่ร้ายผู้อื่นแล้ว นายธนกรยังเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากล่าวอ้างอีกด้วย นายธนกรคือบุคคลที่สมควรได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้ “ดึงฟ้ามาต่ำจริงๆ” ในฐานะลูกหลานคนนครศรีธรรมราช เสียดายที่มีกลุ่มคนเพียงหยิบมือออกมาแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำให้ผู้คนที่มองมาและตัดสินว่าคนนครศรีธรรมราชไร้เหตุผล ไม่เคารพผู้อื่นเช่นนี้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์จังหวัดด้วย
“วิษณุ” เตือน ส.ส.ยึดคำแนะนำ กกต.
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายระหว่างที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไปรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช มีกลุ่มคนใส่เสื้อเหลืองไปล้อมรถขัดขวางว่า ทุกคนต้องระมัดระวัง การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกหลักเกณฑ์รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นเรื่องดี ทำให้หลายคนที่จะลงไปไม่กล้าลงและไม่เกิดการปะทะกัน ทางที่ดีคือทุกคนควรทำตามคำแนะนำของ กกต. ส่วนกระแสข่าวว่า กกต.กำลังรวบรวมข้อมูลตรวจสอบคณะก้าวหน้า หลังมีผู้ยื่นร้องเรียนว่ามีลักษณะเคลื่อนไหวคล้ายพรรค การเมืองในการหาเสียง อบจ. ถ้า กกต. กังวลให้เขาไปจัดการเอง
ชี้ อสม.ไม่ใช่ จนท.รัฐช่วยหาเสียงได้
นายวิษณุกล่าวว่า ยอมรับว่าการดำเนินการในฐานะกลุ่มการเมืองกับพรรคการเมืองมีความก้ำกึ่งกัน แต่อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องของกลุ่มหรืออะไร เมื่อ กกต.บอกว่าพรรคการเมืองส่งผู้สมัครได้ก็ช่วยหาเสียงได้ แต่ยกเว้นว่าข้าราชการการเมืองและสมาชิกสภาห้ามไปช่วยหาเสียง เมื่อถามว่ากรณีพ่อเป็น ส.ส. แต่ลูกไปลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่น พ่อไม่สามารถไปช่วยลูกหาเสียงได้ รองนายกฯกล่าวว่า ตอนลูกไปสอบไม่เห็นพ่อต้องไปช่วยลูกสอบเลย ไม่มีอะไรต้องงง เราอย่าไปหยิบความเป็นลูกเป็นพ่อ แต่ต้องหยิบความเป็นสมาชิกสภาหรือความเป็นรัฐมนตรีที่ให้คุณให้โทษ หรือก่อให้เกิดอิทธิพลได้ ต้องแยกหมวกให้ออก ส่วน อสม.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ช่วยหาเสียงได้

ตร.ขอรวบรวมหลักฐานคุกคามหรือไม่
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เปิดเผยถึงกรณีมีเหตุมวลชนสวมเสื้อเหลืองถือธงชาติ ล้อมรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังออกจากโรงแรมใน อ.เมืองนครศรีธรรมราช ที่กลุ่มมวลชนคาดว่าเป็นรถของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ที่เดินทางมาประชุมหัวคะแนนและรณรงค์หาเสียงให้นายอิสระ หัสดินทร์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชว่า ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานว่าเข้าข่ายคุกคามหรือกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบรายละเอียดได้ ขอรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดก่อนว่าเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ สำหรับการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ทั่วประเทศ ได้กำชับแนวทางการปฏิบัติไปยังทุกพื้นที่ ให้วางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุความรุนแรงเหมือนกรณีนี้ จะใช้เป็นแนวทางการศึกษาและป้องกันให้เกิดความสงบเรียบร้อย
แจงสลายม็อบเป็นตามหลักสากล
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาฯ โดยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย รองประธาน กมธ.ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้เชิญ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.สหรัฐ ศักดิ์ศิลปะชัย รอง ผบช.น. มาชี้แจงถึงการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวัน 16 ต.ค.63 นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย โฆษก กมธ.การตำรวจ แถลงว่า การพิจารณาใน กมธ.สรุปสาระสำคัญได้ว่า การดำเนินการของตำรวจปฏิบัติภายใต้กฎหมาย คำนึงถึงหลักเกณฑ์ ใช้มาตรการเบาไปหาหนักตามสากล แต่ละขั้นตอนประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมทุกครั้งชัดเจน ที่ประชุม กมธ. มีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ 1.กรณีผู้ชุมนุมและบุคคลที่มีความเห็นต่างกับผู้ชุมนุม เข้าไปอยู่ในกลุ่มชุมนุม ตำรวจควรมีแนวทางระงับเหตุเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง 2.สตช.ควรมีการสาธิตและประชาสัมพันธ์ขั้นตอนการปฏิบัติให้ประชาชนรับทราบ 3.สตช.ควรใช้วิธีละมุนละม่อมต่อผู้ชุมนุมเพื่อไม่ให้เหตุการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้น
อ้างปะทะการ์ดต้องฉีดน้ำสกัด
นายสัญญา นิลสุพรรณ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ รองประธาน กมธ.การตำรวจ กล่าวว่า กมธ.ได้รับคำชี้แจงจากตำรวจว่า สารเคมีที่ใช้ผสมน้ำฉีดผู้ชุมนุมคือ สารเมทิลไวโอเลตทูบี ไม่มีอันตรายเจือจางแค่ 3% เพื่อให้ระบุตัวตนว่าเป็นผู้มาร่วมชุมนุม เมื่อไม่สามารถหยุดผู้ชุมนุมได้จึงเปลี่ยนใช้น้ำผสมแก๊สน้ำตาฉีดใส่ผู้ชุมนุม แต่ใช้ในปริมาณเจือจาง 3% เช่นกัน เป็นไปตามมาตรฐานยูเอ็น แต่ กมธ.ให้ข้อสังเกตว่าแม้สารเคมีที่ใช้เจือจาง ถ้าเกิดเข้าปากอาจสร้างผลกระทบได้ สาเหตุที่ต้องฉีดน้ำสลายชุมนุมได้รับคำชี้แจงว่าเนื่องจากเริ่มมีความรุนแรงที่ส่อในทางควบคุมไม่ได้ เริ่มมีการปะทะระหว่างการ์ดกับเจ้าหน้าที่จึงเริ่มใช้น้ำฉีดสกัด แต่เมื่อไม่ได้ผลจึงเพิ่มระดับมากขึ้น ส่วนเหตุการณ์ฉีดน้ำที่สนามหลวงเพราะผู้ชุมนุมตัดรั้วลวดหนาม ขยับการชุมนุมไปใกล้พื้นที่ควบคุม และเป็นการฉีดวิถีโค้ง ฉีดแล้วผู้ชุมนุมไม่ได้รุกคืบเข้าไป ถ้าไม่มีการลุกลามข้อกฎหมายชัดเจนก็ไม่ให้ฉีดน้ำสลาย
“เสรีฯ” เคือง “บิ๊กปั๊ด” เบี้ยวแจง กมธ.
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรี พิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรี- รวมไทย เป็นประธาน กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณากรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนายภาณุพงศ์ จาดนอก (ไมค์ ระยอง) นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (รุ้ง) แกนนำกลุ่มราษฎรไปยัง สน.ประชาชื่น จนได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 30 ต.ค.63 โดยมี พล.ต.ต.พัฒนา เพศยนาวิน ผบก.น.2 และพ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ วงษ์หอมหวล ผกก.สน.ประชาชื่น เข้าชี้แจงแทนพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ไม่มาตามที่ กมธ.เชิญชี้แจง มีเพียงนายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่มาชี้แจง ทั้งนี้ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า เมื่อ ผบ.ตร.กับ ผบช.น.ไม่มาด้วยตนเอง กมธ.จะยังไม่ขอรับคำชี้แจงใดๆแต่จะเชิญจนกว่าจะมา
ผบ.เรือนจำเชื่อไม่มีทำร้ายร่างกาย
นายกฤชกล่าวว่า ที่มีกระแสว่า 3 แกนนำถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำจากตำรวจนอกเครื่องแบบนั้น ผู้บัญชาการระดับสูงของเรือนจำได้ใส่ใจมาเยี่ยม จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ใช้ความรุนแรงในเรือนจำ เรายืนยันในเรือนจำไม่มีการทำร้ายร่างกาย ส่วนกรณีส่งผู้ต้องขังไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน ผู้ต้องขังร้องขอสามารถทำได้ แต่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเอง

“ดี้” ฟ้องนักเลงคีย์บอร์ดจาบจ้วง
เวลา 13.00 น. ที่ สน.พหลโยธิน นายนิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงชื่อดัง พร้อมนางแน่งน้อย อัศวกิตติกร ทีมงานศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิดทางสังคมออนไลน์ เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.อนุชา เปลี่ยนสมัย รอง สว.(สอบสวน) สน.พหลโยธิน ให้ดำเนินคดีกับผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ 19 คน ที่โพสต์ตอบข้อความในเฟซบุ๊กของดี้ นิติพงษ์ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.วันที่มีการชุมนุมปิดทำเนียบรัฐบาล มีลักษณะดูหมิ่นและทำให้เกิดความเกลียดชัง นายนิติพงษ์กล่าวว่า มาแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทกับความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เนื่องจากถูกคอมเมนต์ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายบนเฟซบุ๊กจาบจ้วงในสิ่งที่ตนเคารพนับถือ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้ร้องทุกข์ พร้อมพิจารณาพยานหลักฐานตามขั้นตอน
สร.ขสมก.ขวางฟ้องเจ้าของภาษี
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมเขตการเดินรถที่ 6 อู่บรมราชชนนี นายบุญมา ป๋งมา ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 เรื่องการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของ ขสมก.กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้รถโดยสาร ขสมก.เข้าปิดกั้นมวลชนในพื้นที่ชุมนุมทำให้รถ ขสมก.ได้รับความเสียหาย หลัง พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น.ชี้แจงว่าตำรวจและ ขสมก.จะร่วมกันฟ้องเรียกค่าเสียหายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยแถลงการณ์ระบุว่า การปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของ ขสมก.เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรง สร.ขสมก.ตาม ม.40 (4) แห่งพ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะไปฟ้องเรียกค่าเสียหายกับผู้ชุมนุมเพราะรถเมล์เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากภาษีประชาชน
“มายด์” นำทีมมอบตัว สน.บางเขน
ที่ สน.บางเขน เมื่อเวลา 11.00น. น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล (มายด์) แกนนำกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย นายสิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ (ขนุน) แกนนำ มศว.คนรุ่นเปลี่ยน น.ส.สุวรรณา ตาลเหล็ก (ลูกตาล) แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย พร้อมกลุ่มแกนนำเยาวชนอีก 3 คน รวม 6 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ข้อหาร่วมกันชุมนุมสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีชุมนุมกันที่ สน.บางเขน เมื่อ 7 ส.ค.63 เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก (ไมค์ ระยอง) ทั้งนี้ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) ได้รับทราบข้อกล่าวหาเดียวกันไปก่อนหน้าแล้ว
เผย นร.–นศ.สอบไล่พักบิ๊กอีเวนต์
ที่ศาลเเขวงดุสิต ถนนนครไชยศรี นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ (แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์) เดินทางเข้ารายงานตัวต่อศาลแขวงดุสิตตามเงื่อนไขในคดีที่พนักงานสอบสวน สน.สำราญ ราษฎร์ ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหา 19 ราย เมื่อ 14 ต.ค. จากกรณีร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 13 ต.ค. นายไชยอมรกล่าวว่า ขณะนี้ตนมีคดีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และเข้าสู่กระบวนการไปแล้วประมาณ 11 คดี ตนพยายามที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายให้ครบทุกคดี กรณีที่ศาลมีเงื่อนไขคำสั่งห้ามก่อความวุ่นวายฯจากการปรึกษากับทนายแล้ว เห็นตรงกันว่าสามารถขึ้นเวทีปราศรัยได้แต่ต้องระวังเนื้อหาไม่ให้ขัดคำสั่งศาล ยืนยันจะชุมนุมอย่างสันติวิธี ช่วงนี้นักเรียนนักศึกษาอยู่ระหว่างการสอบจึงยังไม่มีกิจกรรมใหญ่

“รุ้ง” ลั่นขบวนการต่อสู้ใกล้สำเร็จ
วันเดียวกัน น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน สองแกนนำคนสำคัญของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มแนวร่วมหลักของคณะราษฎร ให้สัมภาษณ์กับ น.ส. ฐปณีย์ เอียดศรีไชย สำนักข่าว The Reporters เป็นครั้งแรกภายหลังออกจากโรงพยาบาลพระรามเก้า โดยยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวต่อสู้ผลักดันการปฏิรูปตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ของคณะราษฎร โดยเฉพาะประเด็นการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามข้อเสนอ 10 ข้อ ต่อไปจนกว่าสังคมไทยจะเข้าใจว่าข้อเสนอของพวกเราคือต้องการปฏิรูป ไม่ใช่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ตามที่ถูกกลุ่มคนบางฝ่ายกล่าวหา ไม่ว่าอนาคตในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นใด
ลุยต่อลุยหนัก 15 พ.ย.ขึ้นเวทีระยอง
น.ส.ปนัสยากล่าวว่า วันนี้การเคลื่อนไหวของพวกเราไม่ได้แผ่วลงเลย มวลชนแนวร่วมมีการเติบโตงอกงามมากขึ้นเรื่อยๆ มีคนเข้าใจและมาร่วมเคลื่อนไหวชุมนุมกับพวกเราเกินกว่าที่คิด เป็นการยืนยันว่าพวกเรามาถูกทางแล้ว และเข้าใกล้ความสำเร็จแค่พริบตา พวกเราจะพยายามต่อไป โดยในวันอาทิตย์ที่ 15 พ.ย.ที่จะถึงนี้ ตนพร้อมด้วยเพนกวิน และทนายอานนท์ นำภา จะเดินทางไปร่วมชุมนุมและปราศรัย ที่ จ.ระยอง นายพริษฐ์กล่าวว่า ได้ชาร์จแบตมาเต็มหลังจากออกมาจากเรือนจำ ต่อไปนี้ลุยแน่นอน ลุยนาน ลุยหนัก จะกลับมาขึ้นเวทีแล้ว ถือว่าการที่เราต่อสู้ จนเสียอิสรภาพเข้าไปในเรือนจำคือเรายอมเสียอิสรภาพเพื่อให้ความมุ่งหวังในความเปลี่ยนแปลงที่เราได้เรียกร้องเอาไว้ มันผลิบานออกไปทั่วทั้งแผ่นดิน เราเข้าไปในเรือนจำด้วยเกียรติภูมิของกระบวนการประชาธิปไตย ตอนนี้มีความพร้อมจะเดินหน้าลุยอย่างเต็มที่ แล้วจะต่อสู้จนถึงที่สุด จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยของประชาชน โดยไม่มีระบอบศักดินาแทรกแซงอีกต่อไป
คณะราษฎรบอมบ์จี้ ลต.ท้องถิ่นโปร่งใส
เมื่อเวลา 18.00 น. ที่บริเวณสกายวอล์ก บีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้มีกลุ่มนักศึกษาและเยาวชนจำนวนหนึ่ง ใช้ชื่อว่า “คณะราษฎรบอมบ์” ได้จัดกิจกรรมชุมนุมรณรงค์ให้ประชาชนและสังคมไทยในกรุงเทพฯ ร่วมกันเขียนข้อความส่งเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ อบจ. เทศบาล อบต. กทม. และเมืองพัทยา เป็นหน่วยงานราชการที่มีความใกล้ชิด และมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนมากที่สุด ให้มีความสุจริตโปร่งใส เนื่องจากรัฐบาล คสช.จงใจเขียนรัฐธรรมนูญ 2560 ลดทอนความสำคัญ และตีกรอบควบคุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แสดงถึงความขาดเจตนารมณ์ที่จริงใจในการผลักดันการกระจายอำนาจและการปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเอง จนทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ “รู้ปัญหาดีที่สุด” กลับทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ มีเพียงราษฎรเท่านั้นที่ต้องอดทนตลอดมา
จัดเวทีตีแผ่ปัญหาสังคมทุกวันพฤหัสฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ กลุ่มนักศึกษายังได้มีการปราศรัยวิพากษ์การบริหารประเทศที่ล้มเหลว ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้โรงเรียนหลายแห่งต้องปิดตัว เพราะรัฐบาลขาดงบประมาณ รวมทั้งความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน โดยบรรยากาศได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม “คณะราษฎรบอมบ์” ได้ประกาศนัดหมายจะรวมตัวจัดกิจกรรมชุมนุม เพื่อสื่อสารประเด็นสังคมในทุกวันพฤหัสบดี โดยจะหมุนเปลี่ยนตระเวนไปจัดการชุมนุมยังสถานที่ต่างๆ
ยันอำนาจนายกฯตั้ง “จุ๊บจิ๊บ” ประจำ สลน.
ส่วนกรณีมติ ครม.แต่งตั้ง น.ส.ธนพร ศรีวิราช หรือจุ๊บจิ๊บ ภรรยาของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ดำรงตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.)ที่ยังตกเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม วันเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณี ร.อ.ธรรมนัสระบุว่าไม่ใช่อำนาจตนเอง แต่เป็นข้อตกลงกับเจ้าของเก้าอี้เดิมที่ลาออกไปหาเสียงช่วยการเมืองท้องถิ่นว่า เห็นเพียงสื่อที่ยังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ไม่ทราบเลยจริงๆว่าชื่อที่เข้ามาในวาระ ครม.เป็นภรรยา ร.อ.ธรรมนัส นามสกุลไม่ได้สะดุด ไม่มีใครพูดอะไรด้วย เมื่อถามว่าการตกทอดตำแหน่งจากคนเก่าให้กันแบบนี้ทำได้หรือ นายวิษณุกล่าวว่า “เราจะไม่พูดอย่างนั้น เพราะคนแต่งตั้งคือนายกฯ โควตานี้เป็นของนายกฯ เช่น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ ล้วนเป็นอำนาจของนายกฯตั้ง การเสนอกันมาคงจะมี แต่จะให้หรือไม่ให้แล้วแต่ ถือเป็นดุลพินิจของนายกฯโดยเฉพาะ
“ธรรมนัส” ไม่ตอบสังคมยังคาใจ
เวลา 09.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.อ.ธรรมนัส ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นประธาน ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม ร.อ.ธรรมนัส กรณีที่ ครม.มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง น.ส.ธนพร โดย ร.อ.ธรรมนัส มีสีหน้าเรียบเฉยและปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว ต่อมาเวลา 12.30 น. หลังประชุมเสร็จสิ้น พล.อ.ประวิตรมอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัสนั่งประชุมพูดคุยกับกลุ่มพีมูฟต่อ แต่ยังไม่เสร็จสิ้น ร.อ.ธรรมนัสได้ออกจากห้องไปก่อนเมื่อเวลา 13.10 น. โดยหลบออกทางอื่น ขณะที่ผู้สื่อข่าวดักรออยู่ เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล
กมธ.จี้เตรียมพร้อมไทยร่วมซีพีทีพีพี
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุมเพื่อพิจารณารายงานการศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุม และก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) ตามที่คณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก พิจารณาเสร็จแล้ว สาระสำคัญคือการศึกษาผลกระทบด้านการเกษตร สาธารณสุข เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน จากการเข้าร่วมสมาชิกซีพีทีพีพี โดย กมธ.เห็นว่าไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมากด้านการเกษตร หากเข้าร่วมจะถูกรอนสิทธิการใช้พืชพันธุ์การค้า จึงควรทำความเข้าใจให้เกษตรกรยอมรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาและเตรียมพร้อมเกษตรกรที่ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองและสู้ได้ในเวทีโลก ส่วนด้านการแพทย์และสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจการค้า การลงทุนจะกระทบหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมและเตรียมการภายในประเทศหลายด้าน จำเป็นต้องมีนโยบายและโครงการที่ชัดเจน ส.ส.หลายคนอภิปรายสนับสนุนโดยเสนอแนะให้รัฐบาลเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเจรจาการค้าซีพีทีพีพี ที่เชื่อว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมได้ จากนั้นมีมติส่งรายงานให้รัฐบาลพิจารณาโดยไม่ต้องลงมติ

“บิ๊กตู่” ร่วมเวทีสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 37
เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 12-15 พ.ย. ผ่านการประชุมระบบทางไกล (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) โดยสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ นายเหวียน ฟู่ จอง ประธา-นาธิบดีสาธารณรัฐเวียดนาม กล่าวต้อนรับและนายเหวียน ซวน ฟุก นายกฯเวียดนาม ในฐานะประธานกล่าวเปิดประชุมย้ำเจตนารมณ์ขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ตามหลักการเป็นประธานอาเซียนปี 63 “แน่นแฟ้นและตอบสนอง” เสริมสร้างความร่วมมือและติดตามความคืบหน้าข้อริเริ่มต่างๆของอาเซียนรับมือผลกระทบโควิด-19 จากนั้นนายกฯร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 (Plenary) มีผู้นำและผู้แทน 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนและเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วม นายกฯได้แสดงข้อคิดเห็นและเสนอทิศทางขับเคลื่อนกลไกอาเซียน ย้ำเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อผ่านพ้นวิกฤติการแพร่ระบาดและผลกระทบจากโควิด-19
ยกอาเซียน–จีนมิตรแท้ยามยาก
ต่อมาเวลา 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 23 มีนายหลี่ เค่อเฉียง นายกฯสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าร่วม เน้นความร่วมมือเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ก้าวข้ามวิกฤติที่เกิดขึ้นไปด้วยกัน ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เน้นย้ำความร่วมมือ 30 ปีอาเซียนและจีน เปรียบสุภาษิต “มิตรในยามยากคือมิตรแท้”วิกฤติโควิด-19 ได้พิสูจน์ความเป็นมิตรแท้อีกครั้ง จากนั้นนายกฯเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 23 และอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีครั้งที่21 โดยผู้นำอาเซียนทั้งหมดได้รับรองเอกสาร 6 ฉบับ ได้แก่ 1.ปฏิญญากรุงฮานอยว่าด้วยวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ค.ศ.2025 2.ปฏิญญากรุงฮานอยว่าด้วยการรับรองแผนงานข้อริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน ฉบับที่ 4 (ค.ศ.2021-2025) 3.ปฏิญญากรุงฮานอยว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับงานสังคม สงเคราะห์เพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่แน่นแฟ้นและตอบสนอง 4.เอกสารว่าด้วยอัตลักษณ์อาเซียน 5.ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการท่องเที่ยวเชิงดิจิทัล และ 6.ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยกรอบข้อตกลงระเบียงการเดินทางของอาเซียน รวมถึงเห็นชอบกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน