ต้องยอมรับว่าการควบคุมฝูงชนของตำรวจไทยในยุคนี้ ก้าวหน้าไปมากจากที่เคยใช้กระสุนจริงสลายการชุมนุม ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายนับร้อยๆ ในบางยุคบางสมัย หรือการใช้แก๊สนํ้าตาแบบด้อยพัฒนา ฉีดไล่กลุ่มผู้ชุมนุม แขนขากระจุย พัฒนามาเป็นการฉีดนํ้าผสมสารเคมี หรือฉีดนํ้าเปล่าๆ แถมยังมีกล่าวคำขอโทษที่พลาดไป
อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์อย่างกว้างขวาง ทั้งภายในและต่างประเทศ หลังจากที่ตำรวจฉีดนํ้าผสมสารเคมี เพื่อสลายการชุมนุมของฝูงชนกลุ่มคณะราษฎรที่แยกปทุมวัน กลาง กทม. เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม แม้แต่สำนักงานสิทธิมนุษยน สหประชาชาติ ก็เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการชุมนุมโดยสงบ เป็นเสรีภาพประชาชน
แต่รัฐบาลและตำรวจยืนยันว่าเป็นการกระทำตามกฎหมาย และยึดหลักสากล เพราะผู้ชุมนุมทำผิดกฎหมาย แต่นักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชน เห็นว่าการฉีดนํ้าแรงดันสูงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การใช้กำลังต้องได้สัดส่วนและความจำเป็น เช่น ผู้ชุมนุมก่อการจลาจล การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเกินสมควรแก่เหตุ
มีเสียงวิพากษ์เกี่ยวกับการตั้งข้อหา กับบรรดาแกนนำผู้ชุมนุม เป็นข้อหาที่รุนแรงไปหรือไม่ กองบัญชาการตำรวจ นครบาลแถลงเมื่อเร็วๆนี้ว่านับแต่มีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนเป็นต้นมา มีการจับกุมดำเนินคดี 85 ราย ส่วนใหญ่โดนข้อหา ทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฐานมั่วสุมชุมนุม และมาตรา 116 ของ ป.อาญาปลุกระดมประชาชนให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง
มีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นข้อหาที่ตรงเกินไป โดยเฉพาะ ม.116 ที่กลายเป็นกฎหมายสามัญประจำบ้าน เป็นกฎหมายครอบจักรวาล งัดออกมาเล่นงานกลุ่มผู้เห็นต่าง ข้อหาปลุกระดมร้ายแรงใกล้เคียง กับความผิดฐานกบฏ มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
...
จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์กของสวีเดน เปิดเผยผลการวิจัยสถานการณ์โลกปี 2562 ระบุชื่อประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่ “ประชาธิปไตยถดถอย” ทั้งๆที่เป็นปีเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญใหม่ 2560 ทำให้ไทยมีรัฐสภาใหม่ รัฐบาลใหม่ แต่นายกรัฐมนตรีเก่าที่สืบทอดอำนาจ
หลังจากที่คณะรัฐประหาร คสช.ยึดอำนาจ ตั้งแต่ปี 2557 สัญญาว่าจะปฏิรูปประเทศในทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง กระบวน การยุติธรรม และตำรวจ เป็นต้น แต่เป็นเพียงวาทกรรมเท่ๆบนแผ่นกระดาษ เจ้าหน้าที่รัฐ มักจะถือว่ากฎหมายลูก เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดของประชาธิปไตยทุกประเทศ.