หากพูดถึง "เหล้า" หรือ "สุรา" ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นกิจการค้าขนาดใหญ่ ที่สร้างความร่ำรวย ผลกำไรตอบแทนผู้ประกอบการประเภทในแต่ละปีอย่างมหาศาล
ที่ผ่านมา เรามักได้เห็นและได้ยิน ความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่าย มาอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายควบคุม หมายถึง "ภาครัฐ" มีมุมมองออกกฎหมายเพื่อเป้าหมาย "รักษาสุขภาพ และป้องกันความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน ของพี่น้องประชาชน" กับอีกฝ่าย คือ "ผู้ประกอบการธุรกิจ ทั้งรายใหญ่และรายย่อย" ที่แน่นอนว่า หวังผลกำไรมาเป็นอันดับแรกเสมอ
หากมองปัญหาให้ลึกลงไปอีก ปมขัดแย้งระหว่าง ผู้ประกอบการรายใหญ่กับ ผู้ประกอบการรายย่อย นับเป็นรอยร้าวที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดกระแสเรียกร้อง การแก้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในขณะนี้ ทั้งปมผู้ประกอบการรายย่อย กล่าวหา ผู้ประกอบการรายใหญ่ สมคบภาครัฐ ออกกฎหมายกีดกันทางการค้า ด้วยการกำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำ-กำหนดกำลังเครื่องจักร ห้ามโฆษณาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในออนไลน์ ทั้งหมดไม่พ้นข้อครหา ถือเป็นการ "เอื้อให้เหล่านายทุน"
จนทำให้ผู้สูญเสียประโยชน์ ต้องรวมตัวกันออกมา เรียกร้อง ให้มีการพิจารณา แก้ไข
-กฎกระทรวงการอนุญาตผลิตสุรา พ.ศ. 2560 ในมาตรา 153 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ปี 2560
และแก้ไขการควบคุมการโฆษณา เหล้าและสุรา ผ่าน -พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 32
ปัญหากำลังผลิตขั้นต่ำของโรงงานผลิตเบียร์และสุรากลั่น
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ กฎกระทรวง การอนุญาตผลิตสุรา พ.ศ. 2560 ในมาตรา 153 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีการกำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำไว้สูงมาก ทำให้รายย่อยไม่สามารถตั้งโรงงานผลิตได้
...
1. กำหนดว่าผู้ขออนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท แต่ไม่กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำสำหรับผู้ขออนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดอื่น = ผูกขาดเบียร์
2. กำหนดคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตผลิตสุราแช่และสุรากลั่นในชุมชน โดยไม่รวมสุราแช่ชนิดเบียร์ สรุปคือรายย่อยสามารถขอผลิตสุราแช่ชุมชน เช่น ไวน์ สาโท กะแช่ได้ แต่ขอทำเบียร์ไม่ได้ = ผูกขาดเบียร์
3. กำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำของบริวผับ เป็นหนึ่งแสนลิตรต่อปี และสิบล้านลิตรต่อปีสำหรับโรงงานเบียร์ = ผูกขาดเบียร์
4.กำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำของโรงงานผลิตสุรากลั่นชนิดสุราพิเศษ ประเภทวิสกี้ บรั่นดี และยิน เป็น 30,000 ลิตรต่อวัน ที่ 28 ดีกรี = ผูกขาดเหล้า
5. กำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำของโรงงานผลิตสุรากลั่นชนิดอื่นๆ เป็น 90,000 ลิตรต่อวัน ที่ 28 ดีกรี = ผูกขาดเหล้า
และ 6. กำหนดให้โรงเหล้าชุมชน ต้องมีกำลังรวมของเครื่องจักรต่ำกว่าห้าแรงม้า และใช้คนงานน้อยกว่าเจ็ดคน = กดหัวเหล้าชุมชน

"กรมสรรพสามิต" กำลังหาวิธีช่วย แต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่?
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมสรรพสามิต เผยว่า กำลังมีการพิจารณา เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ เพราะการตั้งโรงผลิตสุรา ต้องมีการควบคุมคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งคงต้องใช้เงินในการลงทุน โดยจะประสานกับ SME Bank ให้จัดเงินกู้เพื่อพัฒนาให้กับผู้ผลิต และโรงเหล้าในชุมชนหลายแห่ง รวมตัวกันเป็นโรงเดียว เพื่อควบคุมคุณภาพ
อย่างไรก็ดี จนถึงตอนนี้ ยังไม่มี time line กำหนดว่าจะดำเนินการเมื่อใด
มาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551
ขณะที่ กฎหมายอีกตัว ที่กล่าวถึงมากที่สุด คือ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 32 ของกรมควบคุมโรค โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ที่มีการออก ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 (ห้ามขายเหล้าในออนไลน์)
ที่ผ่านมา ปรากฏข่าว กลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร-นักวิจารณ์เครื่องดื่ม-ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้รับหมายเรียก ถึง 400 ราย ถูกปรับเงินตั้งแต่ 50,000-500,000 บาท เพราะไปขายหรือโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในโลกออนไลน์ ช่วงโควิด-19 ระบาด ซึ่งเป็นบทลงโทษที่สูงและค่อนข้างรุนแรง จนผู้ค้ารายย่อยต่างออกมาโจมตีว่า กฎหมายนี้ ออกมาเพื่อเอื้อนายทุน ยิ่งอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 ด้วย

ขณะที่ ก่อนหน้านี้ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เคยตั้งกระทู้ทั่วไป เกี่ยวกับปัญหาของ กฎกระทรวงอนุญาตผลิตสุรา โดยตั้งข้อสังเกตว่า เบียร์มีมูลค่าการตลาด 20,000 ล้านบาท แต่ไทยกลับมีเบียร์ไม่กี่ยี่ห้อ เพราะติดเงื่อนไขในกฎกระทรวงการอนุญาตผลิตสุรา
1.อุตสาหกรรมผลิตเบียร์แล้วขายหน้าโรงเบียร์ การขอใบอนุญาตต้องผลิตขั้นต่ำ 1 แสนลิตรต่อปี คิดเป็นวันละ 300 ลิตร
และ 2.อุตสาหกรรมผลิตเบียร์แล้วใส่ขวดขาย การขอใบอนุญาตต้องผลิตขั้นต่ำ 10 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นวันละ 30,000 ลิตร ซึ่งในทางปฏิบัติเท่ากับการตั้งโรงเบียร์ อาจะต้องใช้ทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท
ตอกย้ำ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ปี 2560 กีดกัน ผู้ประกอบการรายเล็ก ไม่ให้เติบโต
ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว นักวิชาการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยระบบสุขภาพและการแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ กรณีมีการเรียกร้องจากผู้ประการรายย่อย ให้แก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 32 ว่า ต้องเข้าใจก่อนว่า อย่างผู้ประกอบการรายใหญ่ บริษัทเก่า แบรนด์ ของเขาติดหูคนไทยมานาน ก่อนมีพ.ร.บ.นี้มาบังคับใช้ เขาก็มีการโชว์นวัตกรรมอื่นๆ อย่างการทำน้ำดื่ม มีตราสินค้าที่เราเห็น แล้วลิงค์ไปสู่สิ่งนั้น (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ซึ่งกลุ่มที่มีปัญหามาก คือกลุ่มรายเล็กรายน้อย อย่างการทำ"คร๊าฟเบียร์" คือติดกฎหมายสำคัญเรื่องการโฆษณา และกฎหมายเรื่องกำลังการผลิต ที่นี้กฎหมายเรื่องการผลิต "กฎหมายสรรพสามิต" คือกฎหมายไปล็อกไว้ มีผู้ผลิตขนาดเล็ก กับผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งก็ถือว่า อย่างกฎหมายสรรพสามิต อาจจะกีดกันผู้เล่น ถ้าคณเป็นรายเล็กก็ผลิตแบบเล็กๆ เพราะถ้าคุณจะเป็นรายใหญ่ต้องมีกำลังการผลิตใหญ่ไปเลย มันไม่มีตรงกลางที่จะโตไปเป็นรายใหญ่ได้ ตรงนั้น ชัดเจนว่าเป็นการกีดกัน ให้ผู้ผลิตไม่สามารถโตได้ ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า หากแก้กฎหมายสรรพสามิต น่าจะตรงไปตรงมามากกว่า
ส่วนเรื่องการควบคุมโฆษณา พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา32 กฎหมายมันนี้ถูกทดสอบมาแล้วในต่างประเทศ ว่า สามารถควบคุมได้ผล แต่วิธีการ การควบคุมของแต่ละประเทศแตกต่างกัน อย่างของไทยเรา กฎหมายเดิมจริงๆ ก็ยอมให้ทำได้แค่นั้น "โฆษณาพูดเรื่องอื่นด้วยข้อความสร้างสรรค์ แล้วจบด้วยตราสัญลักษณ์โชว์ ได้กี่วินาที"
เสนอทางเลือก วิธีการแก้ปัญหา กรณี "ห้ามขายสุราในออนไลน์"
ผู้ประกอบการรายเล็กมีปัญหา คือเขาไม่มีความรู้ทางกฎหมายเท่าผู้ประกอบการรายใหญ่ มันพอมีทางเลือกอยู่บ้าง ต่างประเทศเขาจะใช้วิธีกำหนดว่า สามารถทำอะไรได้บ้าง เมื่อก่อนมี แต่โทรทัศน์-วิทยุ แต่เดี๋ยวนี้ มี "สื่อโซเชียลมีเดีย"ด้วย ดังนั้นเรามีทางเลือก คือ 1. รัฐออกกฎมาบังคับ ยอมให้ไม่ว่าผู้ประกอบการ รายใหญ่-รายเล็ก ทำได้แค่ไหน ทำได้แค่นี้นะให้ชัดเจน หมายถึงเปิดช่องให้ชัดเจน แล้วรัฐก็ต้องก็ต้องไปคิดมาตรการขึ้นมาว่า วิธีการต้องทำอย่างไรบ้าง เปิดช่องให้นิดหนึ่ง พอทำให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ทำแบรด์ของเขาเอง ทำให้ประชาชนได้รู้จัก แต่ต้องไม่ให้เป็นการกระตุ้นการดื่ม ซึ่งผมก็ยอมรับว่า ยังไม่สามารถคิดรายละเอียดลึกๆมาเสนอได้ว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง แต่อยากเสนอไว้เป็นทางเลือกได้

“ในฐานะนักวิชาการ การแบนทั้งหมดแบบนี้ในมุมสุขภาพเราเห็นด้วย แต่หากจะเปิดช่องไว้ได้ ก็เชียนไปเลยว่าทำแบบนี้ได้เท่านั้นนอกนั้นไม่ได้ คือห้ามเหมือนเดิมแต่ขยายว่าออนไลน์ทำได้แค่นี้เท่านั้น แต่ผมยังไม่มีความเห็นว่าต้องทำอย่างไรนะ แต่ในมุมมองของผมซึ่งทำงานยึดเรื่องสุขภาพเป็นหลัก หากยึดผลกระทบสุขภาพเป็นหลักการเบนทั้งหมดดีที่สุด เพราะจะทำให้ผลกระทบแอลกอฮอล์น่าจะน้อยที่สุด แต่ถ้าจำเป็นต้องเปิดช่อง ให้มีรูหายใจบ้าง ก็น่าจะเป็นการเขียนกฎหมายกำหนดว่าให้ทำแบบนี้ได้ แต่นอกเหนือจากนี้ห้ามทำ” นายแพทย์ อุดมศักดิ์ กล่าว...
มาตรา 32 เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์?
นายแพทย์อุดมศักดิ์ ยังกล่าวต่อว่า ปัญหารัฐคือมันไม่ได้มีการสื่อสารที่ดีพอ ถ้าลงไปในพื้นที่จริงๆ จะรู้ว่า คนที่ทำผิดครั้งแรก แนวโน้มส่วนใหญ่ จนท.จะใช้การเตือน แต่สำหรับผู้ประการการที่ถูกปรับเงินมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการทำผิดซ้ำ หรือมีความผิดมากกว่า 1 ฐาน อย่างสมมุติ คุณทำผิด 10 เรื่อง เวลาภาครัฐไปจับ ภาคประชาชนก็อาจมีการบ่ายเบี่ยงว่า ทำผิดแค่นี้ทำไมต้องจับ
"เท่าที่ผมทราบ การเตือนของ จนท.เป็นมาตรการแรกที่ใช้ก่อน-เตือนแล้วไม่ทำจะถูกปรับเงิน-ผิดหลายอย่างแล้วไม่ยอมแก้ไขก็จะโดนปรับเงินเยอะ แต่เวลาเขาอยากโวยวายให้แก้กฎหมาย จะบอกว่า ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ น่าสงสาร ทำผิดข้อเดียว แต่ความจริง ถ้าลงไปดูจะรู้ว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่ร้านเล็กๆ แล้วทำผิดหลายข้อ เตือนแล้วแต่ก็ไม่แก้ไข ขณะ ภาครัฐเอง ก็ไม่มีช่องทางสื่อสารประชาสัมพันธ์ ที่ดีพอ บางคดีเป็นคดีเล็กๆ ไม่ใช่คดีใหญ่ ที่ประชาชนสนใจ ก็ไม่มีใครรู้ เป็นต้น ก็อาจทำให้นึกว่า เจ้าหน้าที่มีการเรียกรับผลประโยชน์ได้ ดังนั้นภาครัฐก็ควรต้องสื่อสารกับสังคมให้ชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาความไม่เข้าใจด้วย" นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว...
โดยสรุปแล้ว เรื่องนี้ เป็นการต่อสู้กัน ระหว่าง 2 กลุ่ม คือ 1 กลุ่มภาครัฐที่บังคับใช้กฎหมาย ในที่นี้ คือ "กรมสรรพสามิต-กรมควบคุมโรค" ขณะอีกฝ่าย คือ ผู้ประกอบการที่ผลิตและขาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้ง รายใหญ่ และรายย่อย
งานนี้เพื่อไม่ให้ปัญหา "คาราคาซัง" จึงต้องหาจุดสมดุลให้เจอ ระหว่าง "ผู้บริโภค-ผู้ประกอบการรายใหญ่-ผู้ประกอบการรายย่อย" สามารถร่วมทางเดินไปถึงจุดหมายด้วยกันแบบ WIN-WIN ทุกฝ่าย ซึ่งก็ยอมรับว่า เป็นเรื่องยาก เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีเม็ดเงินและผลประโยชน์ตอบแทน ที่ยั่วยวนใจกลุ่มนายทุน มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ต่อปี เป็นเดิมพัน
ขอบคุณข้อมูลจาก surathai