เป็นไปตามการยุทธ์ทิ้งระเบิดระลอกแรกอย่างหนักให้รัฐบาลป้อแป้ ส่งสัญญาณถึงทุกฝ่ายและส่งถึงนายกฯว่ามีปัญหาในการนำ ก่อนเตรียมพร้อมทิ้งระเบิดตามมาระลอกสอง ระลอกสาม

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย เปิดมุมคิดในฐานะเคยเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ถึงมิติความมั่นคงและสถานการณ์การเมืองหลังชุมนุมปลดแอกชุมนุมใหญ่ “19 กันยา

แม้ผ่านการชุมนุมไปแล้ว ฝ่ายความมั่นคงควรเน้นหนัก งานปฏิบัติการข่าวสารเชิงบวก มุ่งมั่นทำความเข้าใจกับประชาชนและร่วมมือกับมวลชน

เน้นย้ำรัฐไม่เป็นตัวก่อให้เกิดความรุนแรงแน่

ขอให้มวลชนร่วมมือ มีสิ่งบอกเหตุไม่ดีควรแจ้ง

ปกติหน่วยรับผิดชอบข่าวกรองมีทุกมิติ มีสำนักข่าวกรองแห่งชาติเป็นเจ้าภาพ มีทั้งหน่วยของทหาร ตำรวจ มหาดไทยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดประสานกัน ฉะนั้นสิ่งบอกเหตุค่อนข้างรู้ก่อน

งานการข่าวตอนนี้ยืนยันเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกครั้งที่มีการชุมนุมมือที่สามก่อความไม่สงบแทบไม่มี เพราะขบวนการนักศึกษาเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ยาวนาน มวลชนหลักคือนักศึกษา

มีการสื่อสารถึงเพื่อนในโลกประชาธิปไตย เข้าใจประวัติศาสตร์ รู้การเกิดรัฐประหารแต่ละครั้งจะสร้างเงื่อนไขขึ้นมา รู้ทันกลเม็ดเด็ดพรายการทำรัฐประหาร เด็กรุ่นใหม่คิดไปไกลกว่าเรามาก เมื่อมองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง ย่อมต้องออกมาเคลื่อนไหว

ไม่ใช่ขบวนการแบบชุมนุมเสื้อสี มีมวลชนหลากหลายประเภทเข้าร่วม ค่อนข้างควบคุมยาก

พร้อมขยายรายละเอียดให้เห็นว่าตั้งแต่ก่อนเกิดการชุมนุม โดยเฉพาะมีสัญญาณชัดเจนทหารไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ทั้งจากคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.และสัญญาณพิเศษ

แทบจะปิดประตูการทำรัฐประหาร

...

ขอให้ย้อนกลับไปถึงต้นเหตุที่รัฐบาลอยู่ได้ยาว ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักมีกองทัพเป็นเงาทะมึนอยู่ข้างหลัง ทำให้กลไกของรัฐ และภาคเอกชนแห่ตามมาสนับสนุน

เมื่อกองทัพพูดชัดไม่เข้ามาเกี่ยวการระงับยับยั้งมวลชน ตำรวจรู้กฎหมาย เมื่อหันหลังมาไม่มีกองทัพ ตำรวจจึงเข้ามาดูแลเฉพาะความเรียบร้อย งานการข่าว ไม่เผชิญหน้าอยู่แล้ว

ทันทีที่ทหารไม่เข้ามา บทบาทตำรวจ บทบาทพลเรือนย่อมจางลง

ภาคธุรกิจ ภาคเอกชน ภาคประชาชนก็เริ่มส่งสัญญาณถึงรัฐบาลว่าไปต่อยาก

ขณะเดียวกันในสัปดาห์นี้มีประชุมร่วมสองสภา เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ หากวุฒิสภาไม่ยอมถอย ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามข้อเสนอของการชุมนุม

อย่างน้อย “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ตัดอำนาจโหวตนายกฯ

ไม่เช่นนั้นเกิดการชุมนุมใหญ่และชุมนุมย่อยทั่วประเทศตามมาแน่

แม้ตามขั้นตอนกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญใช้เวลานาน แต่วุฒิสภาต้องห้ามยุ่งเกี่ยวกับการโหวตนายกฯทันที เพราะระหว่างการแก้รัฐธรรมนูญ อาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง

เช่น นายกฯลาออกหลังถูกมวลชนกดดันหนัก

เปิดช่องเลือกนายกฯคนใหม่ตามรัฐธรรมนูญปี 60

โหวตตามบัญชีรายชื่อนายกฯของแต่ละพรรค

หรือคนนอก ส.ส.ต้องผนึกกำลังกันทั้งหมด เพื่อให้จบที่สภา

รัฐบาลแห่งชาติ การรัฐประหาร มวลชนไม่ขานรับ

แค่นี้บรรยากาศก็ไม่เอื้อต่อการค้า การลงทุน ยุคโควิดที่เศรษฐกิจย่ำแย่อยู่แล้ว หากเกิดรัฐบาลชาติ หรือรัฐประหารอีกยิ่งไปกันใหญ่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ไปต่อไม่ได้แล้ว หลายกระทรวงเริ่มมีกระแสข่าวเข้าไปถอนทุนคืน

นัยทางการเมืองที่ส่งมาจึงต้องการให้ท่านพ้นจากตำแหน่งสถานเดียว เพราะหากยุบสภาฯโดยใช้กติกาเก่าอยู่ เลือกตั้งใหม่เท่ากับไม่เสรีและไม่เป็นธรรมเหมือนเดิม เปิดให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาอีก ปัญหาการเมืองไม่จบ

ในจังหวะนับถอยหลังของรัฐบาลลุงตู่ นายกฯควรลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้คนที่เหมาะสมเข้ามาเป็นนายกฯเปลี่ยนผ่าน บริหารประเทศและบริหารจัดการเลือกตั้งให้เสรีและเป็นธรรม อย่างน้อยแก้รัฐธรรมนูญก่อนตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)

ให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เลือก ส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

กกต.หาสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เป็นมาตรฐานสากล

เงื่อนไขสมาชิกสังกัดพรรคการเมืองแค่ 45 วันก็พอ

ระบบไพรมารีโหวตยุ่งยาก ควรผ่อนปรน

และตั้ง ส.ส.ร. เพื่อแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย

ภายใต้เงื่อนไข พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออกไป

หากยังไม่ลาออกเปิดสมัยประชุมสภาฯครั้งต่อไป ฝ่ายค้านอาจรีบยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หากนายกฯไม่ชิงยุบสภา ในจังหวะนี้ มีโอกาสสูงจะถูกพรรคร่วมหักในวินาทีสุดท้ายจนตั้งตัวไม่ทัน ซึ่งในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว

ฉะนั้น วิกฤตการณ์การเมืองควรแก้ด้วยการเมือง อย่าใช้วิธีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ ยิ่งวันนี้ภาคประชาชน ขบวนการนักศึกษาเข้มแข็ง เป็นโอกาสแก้รัฐธรรมนูญโดย ส.ส.ร. เพื่อให้ได้กติกาฉบับประชาชน เป็นทางออกที่ดีที่สุดของประเทศ

ต่อไปทุกพรรคการเมืองถึงเวลาปรับตัวครั้งใหญ่ ดึงคนรุ่นใหม่เข้าเสริมทัพ ออกแบบโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ นักการเมืองรุ่นเดิมคงผ่านการเลือกตั้งอีกสมัยก็เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่แล้ว ระบบการเลือกตั้งผ่านหัวคะแนนจะค่อยๆลดบทบาทลงไป ในที่สุดก็ไปไม่รอด

วันนี้มีโอกาสนายกฯไม่ยอมลาออก และ ส.ว.ไม่ยอมผ่อนเปิดสวิตช์ตัวเอง การเมืองเดินต่อไปอย่างไร พล.ท.ภราดร บอกว่า ดูปัจจัยรอบด้านแล้วสุ่มเสี่ยงเกิดความโกลาหล

คงไม่ถึงขั้นทำรัฐประหาร

แต่ไปห้ามทำรัฐประหารไม่ได้

ใครกล้าทำย่อมเจอจุดจบไม่สวยทั้งคนทำและรัฐบาล

ฉะนั้น การส่งสัญญาณจากฝ่ายต่างๆที่บอกไว้ข้างต้น รวมถึง “กลุ่ม 3 ป.” สั่งทหารไม่ได้ สะท้อนให้เห็นว่า มีการส่งสัญญาณแบบสุภาพบุรุษว่านายกฯควรไปได้แล้ว

รัฐบาลชุดใหม่หลัง พล.อ.ประยุทธ์ลาออก ขึ้นอยู่กับพรรคฝ่ายค้าน และพรรคร่วมรัฐบาลที่มีบัญชีรายชื่อผู้ที่เป็นนายกฯอยู่ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย ควรหารือและตกลงกันให้ได้

ยกเว้นพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีคนอยู่ในบัญชีนายกฯ แต่เมื่อไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ พรรคนี้ก็เปิดเจรจาได้สะดวกขึ้น เพราะล้วนเป็นกลุ่มก๊วนเดิมๆที่สามารถพูดคุยกันได้

ฉะนั้นวันนี้ขออย่าให้เกิดรัฐประหารหรือมีอำนาจเผด็จการเข้ามาแทรก ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของสภา การเมืองถึงจะพัฒนาและประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้

นอกจากเสียงเรียกร้องของชุมนุมปลดแอก ยังมีสัญญาณพิเศษอะไรทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ควรลาออกจากนายกฯ พล.ท.ภราดร บอกว่า นายกฯอยู่ได้ เพราะมีกองทัพเป็นเงาอยู่ข้างหลัง

แต่วันนี้มีสัญญาณบางอย่าง

เห็นได้จากกองทัพไม่ยุ่ง ไม่หนุนหลัง

ส่งสัญญาณให้ “บิ๊กตู่” ลาออก.

ทีมการเมือง