การเมืองไทยหมุนกลับสู่วงจรการชุมนุมอีกครั้ง คราวนี้ไม่รู้จะเป็นการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนานหรือไม่ และจะจบลงอย่างไร ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา วัฏจักรการเมืองไทยมักจะเริ่มต้นด้วยรัฐประหาร การฉีกรัฐธรรมนูญ การร่าง รัฐธรรมนูญใหม่ การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย แล้ววกกลับสู่รัฐประหารอีกครั้ง

หากมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถบันดาลได้ เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คงจะไม่ต้องการให้การเมืองวนเวียนอยู่ในวงจรน้ำเน่าอย่างไม่รู้จบสิ้น การเมืองในอุดมคติของคนไทยคือการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการปกครองประเทศ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมที่แท้จริง

ทั้งสภานิติบัญญัติและคณะผู้บริหารประเทศหรือรัฐบาล จะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และต้องเป็นการเลือกตั้งที่สุจริต และเที่ยงธรรม เป็นการเข้าสู่อำนาจด้วย “บัตรเลือกตั้ง” (ballot) มิใช่ด้วยลูกปีน (bullet) การเลือกตั้งหรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลต้องเป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญไม่ใช่เปลี่ยน ด้วยรัฐประหาร

การเปลี่ยนรัฐบาลด้วยรัฐประหาร เป็นวิธีการที่ล้าหลัง เมื่อเปรียบเทียมกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ในโลกปัจจุบันซึ่งมีอยู่กว่า 200 ประเทศ ไม่มีใครชอบรัฐประหาร มีเพียงทวีปแอฟริกาไม่กี่ประเทศ ส่วนไทยเป็นประเทศที่มีรัฐประหารมากในอันดับต้นๆ ของโลก จึงมีรัฐธรรมนูญอันดับต้นๆด้วย

เนื่องจากรัฐประหารแต่ละครั้ง จะต้องเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญหลายฉบับเริ่มต้นด้วยการฉีกทิ้งฉบับหนึ่ง การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) เป็นฉบับที่ 2 และร่างขึ้นใหม่เป็นฉบับที่ 3 ส่วนรัฐบาลที่สืบทอดจาก คสช. กำลังจะมีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 ถ้ามีการจัดทำฉบับใหม่ตามเสียง เรียกร้อง แต่ก็ยังมีข่าวลือเรื่องรัฐประหาร

...

เมื่อเปรียบเทียบกับความก้าวหน้า ในด้านเศรษฐกิจและสังคม ต้องถือว่าการเมืองไทยล้าหลังกว่าเศรษฐกิจมาก เมื่อหลายปีก่อนเศรษฐกิจไทยได้รับยกย่องมีสิทธิเป็น “เสือตัวที่ห้า” ของเอเชีย เป็น ประเทศอุตสาหกรรมใหม่หรือ “นิกส์” จีดีพีขยายตัวปีละกว่า 10% และก้าวสู่ ยุค 4.0 แต่การเมืองยังล้าหลังอยู่ที่ 0.4 หรือ 2504

หมายถึง พ.ศ.2504 ที่เพลงผู้ใหญ่ลีโด่งดังไปทั่วประเทศ และสะท้อนถึงการปกครองประเทศ เช่น ตอนที่ว่า “ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร” เศรษฐกิจของไทยเคยรุ่งเรือง แต่แก้ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” ไม่ตก ถ้าหากดลบันดาลได้ รัฐไทยในอุดมคติควรลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งรายได้ ศักดิ์ศรีและความยุติธรรม.