โรคติดเชื้อ ไวรัสโควิด-19 เปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นสัญญาณเตือนให้ ชาวโลก ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ ยุคใหม่ หรือที่เรียกว่า New Normal หรือ วิถีใหม่ โดยเฉพาะเศรษฐกิจน่าจะได้รับผลกระทบไม่ต่างจาก สังคมและการดำรงชีวิต หลายอาชีพต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือหายไปจากสารบบ เงินเยียวยาภาครัฐ เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ในระยะยาวประชาชนจะต้องรับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่จะตามมาอีกมากมาย

มาตรการลดค่าครองชีพที่รัฐเคยช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ในที่สุดก็ต้องมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในเมื่อรัฐต้องแบกภาระต่างๆเอาไว้มากมาย ผลกระทบที่กระจายไปทุกชนชั้นทุกสาขาอาชีพ ทำให้การช่วยเหลือลดภาระของรัฐ ต้องขยายออกเป็นวงกว้างมากกว่าในปัจจุบัน ที่ให้การเยียวยาเป็นบางสาขาอาชีพ บางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งตามนโยบายสาธารณะแล้วรัฐจะต้องให้การช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกันทุกกลุ่ม

การช่วยลดภาระของรัฐก็จะต้องทำเป็นมาตรฐานระยะยาว อาทิ การลดค่าไฟฟ้า ลดผลกระทบจากโควิด-19 ตามมาตรการของ กระทรวงพลังงาน ที่ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าในเดือน มี.ค.-พ.ค. โดยครัวเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 5 แอมป์ไม่เกิน 150 หน่วย ใช้ไฟฟรี ครัวเรือนที่ใช้ไฟเกิน 5 แอมป์ ถ้าใช้ไฟไม่เกิน 800 หน่วย ให้จ่ายค่าไฟเท่าเดือน ก.พ. เคยเสียเท่าไหร่ก็จ่ายไม่เกินค่าไฟในเดือน ก.พ.แต่ถ้าเกิน 800 หน่วยขึ้นไปไม่เกิน 3,000 หน่วย ลดให้ 50% ของจำนวนที่เกิน 800 หน่วย ถ้าเกิน 3,000 หน่วย ลดให้ 30% เป็นต้น

ทั้งนี้ การลดภาระค่าไฟก็ยังมีจุดบกพร่อง เช่น ทำไมจะช่วยลดภาระทั้งทีต้องมีขั้นตอนเงื่อนไขที่ยุ่งยาก สร้างความสับสนให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า อันที่จริงแลัวถ้าใช้วิธีลดค่าไฟฟ้าต่อหน่วย โดยไปลดที่ต้นทุนค่าไฟฟ้าจากต้นทาง ลดราคาเชื้อเพลิง ก็จะทำได้ง่ายกว่า ช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการได้ในระยะยาวและทั่วถึงกว่าด้วยซ้ำ

...

ไฟฟ้าบ้านเราส่วนใหญ่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ สัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ถ้าจะลดภาระชาวบ้านโดยการลดต้นทุนรัฐต้องเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติให้มีราคาเหมาะสมและยุติธรรม เพราะราคาก๊าซจะถูกนำมาคิดเป็น ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ถึงร้อยละ 50 คิดเป็นค่าใช้จ่ายทั้งราคาเนื้อก๊าซ ผลตอบแทนการดำเนินกิจการจัดหา และค้าส่งก๊าซของ ปตท.เงินลงทุนสถานี LNG รวมถึงการจัดเก็บ สูตรต้นทุน ดังกล่าวใช้มาแล้ว 13 ปี เมื่อสถานการณ์ในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วรัฐก็ควรที่จัดระบบการคิดต้นทุนเสียใหม่

ต่อจากนั้นรัฐควรจะลดราคาก๊าซธรรมชาติที่เหลือจากโรงแยกก๊าซ ซึ่ง ปตท.จะขายเข้าระบบ ส่วนใหญ่เป็นก๊าซจากแหล่งอ่าวไทยที่จะส่งเข้าโรงแยกก๊าซ ปตท.เพื่อผลิตเป็นปิโตรเคมี ในราคาเท่าทุน แต่มูลค่าที่ได้รับสูงกว่า ดังนั้นถ้า ปตท.ช่วยลดภาระปรับลดราคาก๊าซจากโรงแยกก๊าซลงก็จะทำให้ค่าไฟถูกลง รวมถึงการบริหารจัดการในการซื้อก๊าซจากแหล่งอื่น เช่น จากเมียนมาที่ยังเป็นแบบ Take-or-Pay คือต้องจ่ายเงินแม้ไม่ได้รับก๊าซอยู่ หรือเพิ่มจำนวนผู้นำเข้า LNG เพื่อให้เกิดการแข่งขัน หรือยกเลิกโครงการก่อสร้างคลัง-รับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวแบบเรือลอยน้ำของ กฟผ. ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ก็เท่ากับช่วยลดภาระของประชาชนและภาระของประเทศที่ต้องเจอวิกฤติไวรัสโควิดอย่างแสนสาหัสไปอีกนาน ขึ้นอยู่กับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะประธาน กพช. จะกล้าตัดสินใจปรับเปลี่ยนหรือไม่.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th