ศรัทธา เชื่อมั่นและผลงาน

เป็นองค์ประกอบที่ผู้นำประเทศจะต้องหลอมรวมทั้ง 3 ปัจจัยเหล่านี้ให้บังเกิดผล หากคิดจะบริหารประเทศให้มั่นคงยาวนาน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ก่อนเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-เกาหลีใต้ สมัยพิเศษ ซึ่งเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพระหว่าง 26-27 พ.ย.62

ได้ขอบคุณประชาชนหลังจากที่ซุปเปอร์โพลได้สำรวจความเห็นของประชาชนในหัวข้อ “ภาพลักษณ์ ครม. ในใจประชาชนให้คะแนนรัฐบาลว่ามีภาพลักษณ์ทำงานหนัก กล้าคิด กล้าทำ คณะรัฐมนตรีมือสะอาด ไม่ด่างพร้อยและมีบารมีคุมผู้มีอิทธิพลได้”

ทำเอานายกฯยิ้มแฉ่งกระชุ่มกระชวยขึ้นมาโดยพลัน

ว่าไปแล้วถือว่าภาพรวมของรัฐบาลยังดีอยู่ในสายตาของประชาชน แต่ภาพรวมทางการเมืองทั้งระบบยังมีปัญหาอย่างที่เห็นๆกันอยู่

นี่เลยเป็นป้อมปราการอย่างหนึ่งเพื่อรับมือกับการที่ฝ่ายค้านจะยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในไม่นานนี้

แต่ที่ยังน่าเป็นห่วงก็คือ สภาผู้แทนฯที่มีปัญหายิ่งกว่าจับปูใส่กระด้ง เพราะยุ่งไปหมดจาก ส.ส.เพียงไม่กี่คนที่ขาดสำนึกไร้ความรับผิดชอบทำให้ภาพลักษณ์ไม่ค่อยจะดีนัก

อย่างฝ่ายรัฐบาลนั้นมีความจำเป็นที่แกนนำรัฐบาลคือ พลังประชารัฐนั้นจะต้องคุมเข้มให้มากกว่านี้ไม่ใช่ปล่อยให้เละเทะอย่างนี้

ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่บั่นทอนภาพลักษณ์ที่ประชาชนมอบให้ไม่ใช่การไปอุ้มชู หรือใช้เป็นเครื่องมือเพื่อผลทางการเมืองสู้กับฝ่ายค้าน

“ตบมือข้างเดียว” ไม่มีทางที่จะประสบผลสำเร็จได้

สิ่งที่ประชาชนต่างรอคอยจากรัฐบาลก็คือ “ผลงาน” แม้จะมองว่าทำงานหนัก แต่ผลแห่งงานที่ออกมานั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์และได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง

...

ปัญหาเศรษฐกิจยังเป็นเรื่องใหญ่และเป็นปัจจัยต่อการดำรงอยู่อย่างแยกไม่ออก ไม่ใช่อ้อมแอ้มว่ากันไปวันๆอย่างนี้

ผมว่านายกฯก็รู้ดีว่า นี่คือปัญหาสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งมือเพื่อให้ออกดอกออกผลที่เป็นจริง เพื่อทำให้เห็นว่ามีความสามารถมีการแก้ไขปัญหาตรงเป้าตรงประเด็น

นั่นคือการจะทำยังไงให้ทีมเศรษฐกิจ หรือ ครม.เศรษฐกิจได้ทำงานกันเป็นทีม “ทีม” ที่ผสมผสานให้เป็นเนื้อเดียวกันให้ได้

นายกฯคงเห็นปัญหาว่ามันอยู่ตรงนี้ และพยายามที่จะบอกกล่าวถึงบรรดารัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ซึ่งคงไม่ใช่เพียงแค่ปรับทิศทางการแก้ไขปัญหามุ่งไปสู่ฐานรากมากขึ้น

แต่นายกฯในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจึงต้องมี “แอ็กชัน” เพื่อแสดงความเป็นผู้นำด้วยตนเองด้วย

อย่าให้ถูกปรามาสว่า “ไม่รู้จริง”...ซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งจนขาดความเชื่อมั่น

อย่างเรื่อง “ค่าเงินบาท” ที่แข็งค่ามาเป็นระยะเวลาที่นานเกินไปแล้ว จนเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกมิติ

แบงก์ชาตินั้นนิ่งมานานเกินไป แม้ล่าสุดจะลดดอกเบี้ย ประกาศ 4 มาตรการเพื่อมุ่งหวังที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง

แต่ก็ยังไม่ออกผลอย่างที่หวังแต่อย่างใด

ล่าสุด นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. ได้เปิดปากพูดถึงเรื่องนี้อย่างวิตกกังวลคล้ายกับเพิ่งรู้ปัญหาว่าจะต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว

นี่คือปัญหาของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่จะต้องเร่งแก้ไขตั้งแต่ต้น

ผมว่าปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ...เพราะเกาไม่ถูกที่คัน.

“สายล่อฟ้า”