"ธนาธร-ปิยบุตร" ด้วย ชงนายกปธ.ครม.ศก. บ่นมท.-ศธ.แบ่งงาน เหลิมแฉนักการเมือง ซุ่มปลูกกัญชาในลาว
ระทึกศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องชี้ขาดคุณสมบัติ “ประยุทธ์” แต่ ไม่สั่งพักงาน เสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 รับวินิจฉัย “ธนาธร-ปิยบุตร-กก.บห.อนาคตใหม่” ล้มล้างการปกครอง ขีดเส้น 15 วันแก้ข้อกล่าวหา นัด 27 ส.ค. ตัดสินอดีต 4 รมต.ถือหุ้นสัมปทานรัฐ “บิ๊กตู่” ซุ่มเตรียมแถลงนโยบายรัฐบาล “วิรัช” ขีดเส้นอภิปราย 28.5 ชั่วโมง ตีกันห้ามแตะนายกฯ ฝ่ายค้านโอดถูกจำกัด 13.5 ชั่วโมง ตื๊อขอ 3 วัน “ครม.ตู่ 2” วุ่นอีก ปชป.ฉะแกนนำหวงอำนาจแบ่งงาน ศธ.-มท.แบบเสียไม่ได้ จับตาโยงผลประโยชน์ทับซ้อนคนใกล้ตัว พท.ติวเข้มทีมซักฟอก “เฉลิม” โหมโรงงัด ก.ม.ป.ป.ช.และ รธน. ม.98 (15) กับ ม.160 (6) มัด “บิ๊กตู่” เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แฉนักการเมืองชั่วระดมปลูกกัญชาฝั่งลาวรอรวย “อนุทิน” ตอกอย่ามโน “ธนาธร” โต้ไม่ได้ขายชาติ เยือนสหรัฐฯ-อียู มีแต่ห่วงใยการเมืองไทย คสรท.ขู่ไม่ขึ้นค่าแรงเดือดร้อนแน่
หลังพรรคการเมืองและสังคมเฝ้าจับตารอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับวินิจฉัยคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงหรือไม่ ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติรับคำร้องดังกล่าว แต่ไม่สั่งให้พักการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งรับคำร้องหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองด้วย
ศาล รธน.รับคำร้องคุณสมบัติ “บิ๊กตู่”
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 19 ก.ค. ที่สำนักงาน ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมพิจารณา 3 คำร้องสำคัญ จากนั้นเวลา 17.00 น.สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าวระบุว่า 1.กรณีคำร้อง ส.ส.110 คน เข้าชื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 วงเล็บ 5 หรือไม่ ศาลได้พิจารณาและรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยและแจ้งให้ผู้ร้องทราบ พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
...
ไม่เข้าข่ายสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่
สำหรับการพิจารณาให้ผู้ถูกร้องยุติปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น เห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสองบัญญัติเงื่อนไขไว้ว่าจะต้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ซึ่งตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง ที่จะทำให้เกิดความเสียหาย ประกอบกับผู้ร้องไม่ได้มีคำขอในส่วนนี้ จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะสั่งให้ผู้ถูกร้องยุติการปฏิบัติหน้าที่
แจ้ง อนค.แก้ข้อหาล้มล้างการปกครอง
2.กรณีที่นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 19 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ผู้ถูกร้องที่ 1 คือนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ผู้ถูกร้องที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรค ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เห็นว่าผู้ร้องได้ใช้สิทธิร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แล้ว แต่อัยการสูงสุดไม่ได้ดำเนินการภายใน 15 วันนับแต่ที่ได้รับคำร้อง กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรค 3 ที่ผู้ร้องจะยื่นร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย แจ้งให้ผู้ถูกร้องทราบส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้องทั้ง 4 ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
นัดแถลงปิดคดีอดีต 4 รมต.ถือหุ้น
3.กรณีที่ กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 17 (3) ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล อดีต รมช.ศึกษาธิการ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ อดีต รมช.ศึกษาธิการ และนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 (5) หรือไม่ จากกรณีถือครองหุ้นบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายเพื่อนำสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่าคดีมีหลักฐานพยานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงไม่ทำการไต่สวนและนัดอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในวันอังคารที่ 27 ส.ค. เวลา 14.00 น. และหากคู่กรณีประสงค์จะยื่นคำแถลงปิดคดีเป็นหนังสือให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง

“บิ๊กตู่” ซุ่มเงียบบนตึกไทยคู่ฟ้า
เมื่อเวลา 08.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลตามปกติ โดยไม่มีวาระประชุมใดๆและไม่มีใครเข้าพบ ตลอดทั้งวันนั่งทำงานอยู่บนตึกไทยคู่ฟ้าเตรียมความพร้อมการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา กระทั่งเวลา 17.00 น. จึงเดินลงมาหยุดคุยกับนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกฯ 5 นาที ก่อนขึ้นรถออกจากทำเนียบฯไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

“วิษณุ” ชี้ช่องซักฟอกคุณสมบัติ รมต.
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ระบุว่าการแถลงนโยบายรัฐบาล สามารถอภิปรายคุณสมบัติของรัฐมนตรีได้ว่า ประธานสภาฯบอกแล้วว่าได้ ถ้าทำเป็นมันก็ได้อยู่แล้ว ถ้าพูดเป็นไม่ใช่ลุกขึ้นแล้วซัดเปรี้ยงเอา ถ้าพูดเป็นต้องพูดต่อไปว่านโยบายอย่างนี้ คนที่มาปฏิบัติต้องนึกถึงนโยบาย แล้วคนที่ทำหน้าที่นึกถึงไหม ถ้าพูดอย่างนั้นก็เข้าเรื่อง ร่างนโยบายรัฐบาลที่ต้องแถลงต่อรัฐสภาวันที่ 19 ก.ค.จะส่งให้ประธานสภาฯ หลังให้สัมภาษณ์เสร็จนายวิษณุพูดติดตลกทิ้งท้ายว่า “ผมไม่ควรไปแนะฝ่ายค้าน”
“สมคิด” ชงฟื้น ครม.เศรษฐกิจ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้หารือกับนายกฯถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ มีนายกฯ เป็นประธาน ประชุมร่วมกันเป็นระยะๆเมื่อมีวาระสำคัญ เพื่อให้การทำงานเป็นเนื้อเดียวกันและเพิ่มความมั่นใจ ครม.เศรษฐกิจไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เคยมีมาแล้วสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และสมัยรัฐบาลไทยรักไทย การเป็นรัฐบาลผสมประธานสภาอุตสาหกรรมยืนยันไม่กังวลเพราะมีกลไกขับเคลื่อน สำหรับนโยบายขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำคณะกรรมการไตรภาคีจะหารือมาตรการที่เหมาะสมว่าขึ้นเท่าไหร่ พรรคการเมืองพูดอะไรไว้ต้องทำตามนั้น แต่พูดชัดต้องขึ้นอยู่กับทักษะฝีมือ ไม่น่ามีปัญหาส่วนการแถลงนโยบายรัฐบาลไม่กังวลฝ่ายค้านอภิปรายนอกประเด็น แต่ประชาชนอยากฟังเรื่องสร้างสรรค์ว่านโยบายรัฐบาลมีอะไรบ้าง มีอะไรขาดหรือต้องเพิ่มเติมตรงไหน เชื่อทุกคนอยากให้บ้านเมืองไปได้ ส่วนฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายคุณสมบัติรัฐมนตรีไม่ทราบ
“สุริยะ” ไม่หวั่นเป็นเป้าถล่มเอื้อธุรกิจ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงกรณีมีรายชื่อที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายคุณสมบัติรัฐมนตรี กรณีอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจของตระกูลว่า มั่นใจจะตอบคำถามฝ่ายค้านได้ทุกประเด็น โดยเฉพาะข้อกล่าวหาผลประโยชน์ทับซ้อน พี่ชายคนโต นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ และพี่ชายคนที่ 2 นายพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ คุณพ่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เสียชีวิตไปแล้ว ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับกระทรวงอุตสาหกรรม นายธนาธรเองคงไม่ต้องการให้นโยบายเอื้อกับธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายใหม่เข้าไปช่วย เช่นเดียวกับพี่ชายคนโต ที่สร้างธุรกิจจากวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นหาเทคโนโลยีใหม่มาเพิ่มศักยภาพ พี่ชายตนบอกชัดเจนว่าถ้ามีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจะโดนข้อครหา ธุรกิจไปต่อไม่ได้ อยู่ห่างจะเป็นผลดีมากกว่า

“อนุทิน” เล็งปั้นกัญชงพืชเศรษฐกิจ
เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ได้ฤกษ์เข้าทำเนียบฯ ขึ้นไปสักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้า และลงมาไหว้ศาลพระภูมิศาลตาศาลยาย พร้อมพาสื่อมวลชนชมห้องทำงานที่ชั้น 3 ตึกบัญชา-การ 1 จากนั้นนายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า การแบ่งงานแล้วแต่ดุลพินิจนายกฯ ได้เตรียมพร้อมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว นโยบายกัญชาเสรี มีแผนงานที่กระทรวงสาธารณสุขแล้ว จะพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด อีกหน่อยมีโอกาสเป็นไปได้อาจจะเห็นกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญสร้างรายได้ให้ประเทศและเกษตรกร ส่วนที่พูดกันว่ามีนักการเมืองบางกลุ่มไปปลูกกัญชาที่ลาวบอกคนพูดด้วยว่าอย่ามโน
เน้นทำงานก่อนแก้ รธน.คุยวงใหญ่
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจ้องอภิปรายคุณสมบัติรัฐมนตรีที่มีคดีค้างเก่า นายอนุทินกล่าวว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเอกสารมีหลักฐาน ต้องชี้แจงและกล่าวหาด้วยหลักฐาน โดยเฉพาะการถือหุ้นสื่อ ตรวจสอบไปที่กระทรวงพาณิชย์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะทราบรายละเอียดทุกเรื่องอยู่แล้ว มีข้อกฎหมายอยู่ ส่วนนโยบายการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ละพรรคตั้งใจจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ดีกรีอาจต่างกัน อย่างน้อยอยู่ในนั้นแล้วคงมีการพูดคุยกัน พรรคภูมิใจไทยเน้นการทำงานก่อน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องคุยวงใหญ่เราทำคนเดียวไม่ได้ สำหรับการประชุม ครม. นัดแรกที่นายกฯบอกมีความสุขมาก ทุกคนมีความสุข ได้เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯกับองค์ประมุข ได้รับพระราชทานพระบรมราโชวาทที่ทรงคุณค่า ได้กราบพระบาทถือเป็นสิริมงคลกับทั้ง ครม.เป็นนิมิตหมายใหม่ เป็นสิ่งที่ยังไม่เคยทำ
ครวญเพลง “จงรัก” ให้อดีต หน.คสช.
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายกฯเป็นหัวหน้า คสช. มาทำงานร่วมกันต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง นายอนุทินกล่าวว่า “ต่างคนต่างร้องเพลงจงรัก โปรดอย่าถามว่าฉันเป็นใครเมื่อในอดีต รู้ไว้อย่างเดียวเดี๋ยวนี้รักเธอ รักตลอดไปหรือเปล่าไม่รู้” นายอนุทิน กล่าวทีเล่นทีจริง และว่าสำหรับการแต่งตั้งทีมโฆษกรัฐบาลถ้ามีอัตราให้พรรคมาจะพิจารณาและเสนอชื่อ ในพรรคมีแคนดิเดตหลายคนต้องดูความเหมาะสม โดยเฉพาะรองโฆษกรัฐบาล ต้องมีเชาว์ ไหวพริบ ภาษา ความเข้าใจภาคเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและหลายเรื่อง เมื่อถามว่า หากนายกรัฐมนตรี ให้เสนอชื่อ เพื่อมาทำงานร่วมกัน สามารถส่งได้ทันทีได้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า ขอเวลาคิด 3 นาที

“สมศักดิ์” ขำโซเชียลตีสาวกธรรมกาย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ถือฤกษ์มงคล 08.19 น. เข้ากระทรวง พร้อมนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยา น.ส.ณัฐธิดา เทพสุทิน และนายเทิดไท เทพสุทิน บุตรสาวและบุตรชาย ทำพิธีสักการะศาลพระพรหม ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ และไปสักการะพระพุทธภูมิพลาภิบาลทศพลญาณมุนี ที่กระทรวงยุติธรรม แล้วขึ้นห้องทำงานนำพระพุทธรูปจาก จ.สุโขทัย มาตั้งบูชา ก่อนเข้าประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวง นายสมศักดิ์กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมมีบางส่วนต้องปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ผู้ต้องขังมากกว่า 3 แสนคน จะไม่ให้ล้นคุกจะสร้างเรือนนอนให้เพียงพอ ส่วนที่โลกโซเชียลแพร่ภาพตนไปทำบุญวัดพระธรรมกาย บริจาคที่ดิน 300 ไร่ ไม่ต้องห่วงคดีถ้าทำผิดติดคุกหมด เป็นภาพสมัยเป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ช่วงนั้นไปร่วมพิธีทอดผ้าป่าถวายที่ดินสร้างปทุมรัตน์ธรรมเจดีย์ ในพุทธอุทยานนานาชาติ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ไม่ได้ทำที่วัดพระธรรมกายวัดเดียวมีอีก 3-4 วัด เจตนาโจมตีแต่เป็นเรื่องดีคนจะได้รู้ว่าเป็นคนใจบุญตั้งใจถวายที่ดินสร้างวัด ไม่ได้เป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย แต่เคยพบพระธัมมชโยครั้งเดียว

“ธรรมนัส” ตกใจปัดยึดห้องวอร์รูมฯ
ที่เขื่อนภูมิพล ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ กล่าวถึงกรณีปัญหาเรื่องห้องทำงานที่ยังไม่ลงตัวว่า ฟังข่าวแล้วไม่สบายใจ เพราะ รมช.เกษตรฯทั้ง 3 คน ไม่มีประเด็นเรื่องห้องทำงาน ตนให้เกียรตินายประภัตร โพธสุธน และ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ เมื่อวานทีมงานไปสำรวจดูห้อง พอมาวันนี้ตกใจเจอข่าวรื้อห้องวอร์รูมภัยพิบัติของกระทรวง ยืนยันว่าไม่ได้รื้อยังใช้เป็นห้องประชุม คงเข้าใจอะไรผิด ห้องทำงานตนลงไปทางอาคาร 2 ชั้น 2 ลงตัวแล้วตั้งแต่วันแรก และไม่ได้นิมนต์พระอาจารย์ปื๊ด วัดสัมพันธวงศ์มาดูฮวงจุ้ย ขอเรียนว่าเข้ามาทำงานให้เกษตรกร เรื่องห้องทำงานไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะจะไม่ค่อยได้นั่งได้ใช้เท่าไหร่ จะเน้นลงพื้นที่รับฟังข้อมูลแก้ปัญหาให้เกษตรกรมากกว่า วันที่ 20 ก.ค.จะไป จ.พะเยา ดูแนวทางแก้ปัญหาภัยแล้ง รวมถึงปัญหาทำประมงของกว้านพะเยาและพื้นที่เกษตรที่ขาดแคลนน้ำ ต่อไปจะไปทุกจังหวัดภาคเหนือ
จับตา รมช.กษ.นิมนต์ “อ.บรีส”
พระราชสารเวที (โกมินทร์) รักษาการเจ้าอาวาส วัดสัมพันธวงศ์ กล่าวถึงกระแสข่าว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ จะนิมนต์อาจารย์ปี๊ด วัดสัมพันธวงศ์ ไปดูฮวงจุ้ยห้องทำงานนั้น พระรูปนี้ไม่ได้จำพรรษาที่วัดสัมพันธวงศ์ ไม่ได้ชื่ออาจารย์ปี๊ด แต่ชื่ออาจารย์บรีส หรือพระภัทร มหาลาโภ มีรายงานว่าอาจารย์บรีสปัจจุบันอายุประมาณ 40 ปี เป็นพระชื่อดัง มีลูกศิษย์มีชื่อเสียงมากมาย ชอบทำพิธีกรรมรดน้ำมนต์ปลุกเสก เดิมสังกัดวัดปรางค์หลวง จ.นนทบุรี แต่มีปัญหากับเจ้าอาวาสเรื่องความประพฤติจนต้องออกจากวัด จากนั้นพระราชสารเวที (โกมินทร์) ชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน โดยบวชใหม่เปลี่ยนสังกัดเป็นสังกัดธรรมยุต ที่วัดสารนาถธรรมาราม จ.ระยองเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ก่อนมาจำวัดที่วัดสัมพันธวงศ์ แต่ยังสร้างปัญหากระทั่งพระพรหมมุนี (สุชิน) ผช.เจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ และประธานกรรมการบริหารวัดสัมพันธวงศ์ สั่งให้ออกจากวัดไปก่อนเข้าพรรษา ปัจจุบันอยู่บ้านโยมที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
ปชป.อึดอัด รมต.แกนนำหวงอำนาจ
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการแบ่งงานในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 2 น่าจะสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาล อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ ที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ที่รวบงานหลักในกระทรวง คือสำนักปลัดกระทรวง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยแบ่งงานให้คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาฯ ดูแลสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และเสี้ยวหนึ่งของกรมอาชีวศึกษา คืองานส่วนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรในวิทยาลัยอาชีวศึกษา ถือว่าไม่มีหน่วยงานหลักที่จะสร้างผลงานให้จับต้องเป็นรูปธรรม เปรียบงานสร้างภาพออกงานตัดริบบิ้นโชว์หน้างานไปวันๆ ขณะที่นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาฯ จากพรรคภูมิใจไทย แม้เป็น รมช.ลำดับสองแต่กลับได้งานสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และกิจการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติทั้งหมด จัดเป็นหน่วยงานที่สร้างฐานทางการเมืองและมวลชน ถือว่าได้หน่วยงานหลักทางการเมืองพอสมควร
ฉุน รมว.ศธ.–มท.แบ่งงานเสียไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า สำหรับกระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย แบ่งงานให้ รมช.จาก 2 พรรคร่วมฯแบบเสียไม่ได้ ยึดเอากรมสำคัญและหน่วยงานหลักไว้ทั้งหมดคือกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวง การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และหน่วยงานหลักอื่น จึงมีข้อสังเกตว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนและยึดการบริหารแบบยุครัฐบาล คสช.ที่มาจากการยึดอำนาจ ไม่ได้กระจายอำนาจ โดยแบ่งกรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) การประปานครหลวง และองค์การกำจัดน้ำเสีย ให้นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ลำดับ 1 จากพรรคประชาธิปัตย์ และให้นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ลำดับ 2 จากพรรคภูมิใจไทย ดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง องค์การตลาด และการประปาส่วนภูมิภาค เป็นการแบ่งงานผิดฝาผิดตัวใช้คนไม่ถูกกับงาน เพราะ รมว.มหาดไทยควรกำกับดูแลงานนโยบาย และคุมงานส่วนกลางของ กทม.เช่น องค์การกำจัดน้ำเสีย งานส่วนท้องถิ่นควรแบ่งให้ รมช.ดูแลมีเจ้าภาพรับผิดชอบชัดเจน ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะคนใกล้ตัว รมว.มหาดไทย ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าจากขยะ จึงต้องดู อปท.ที่คุม อบจ.ทั่วประเทศ
วิป รบ.ตีกรอบอภิปราย 28.5 ชั่วโมง
นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยว่า วิปรัฐบาลกำหนดเวลาอภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาไว้ 2 วันรวม 28.5 ชั่วโมงเริ่มตั้งแต่เวลา 09.00-24.00 น. จัดสรรเวลาให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน 13.5 ชั่วโมง ส่วน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล คณะรัฐมนตรีและ ส.ว.ฝ่ายละ 5 ชั่วโมง ได้ร้องขอตัวแทนวิปฝ่ายค้านขอให้อภิปรายในกรอบนโยบายรัฐบาล ส่วนการอภิปรายคุณสมบัติรัฐมนตรีนั้นทำได้ตามกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้
ตีกันไม่ควรตรวจซ้ำสถานะ “บิ๊กตู่”
“เรื่องคุณสมบัติ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ควรตรวจซ้ำอีก องค์กรอิสระและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีคำวินิจฉัยไว้แล้ว ควรยึดถือประเด็นนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ การจัดสรรเวลาให้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลจะหารืออีกครั้งวันที่ 23 ก.ค.เชื่อว่าไม่จำเป็นต้องจัดตั้งทีมองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล ส.ส.ทุกคนมีวุฒิภาวะอภิปรายในกรอบและระเบียบข้อบังคับการประชุม ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าร่วมประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกหลังเลือกตั้ง จะไม่มีปัญหาเรื่องอารมณ์ เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนใจเย็น” นายวิรัชกล่าว
“สุทิน” โอดมีเวลาตรวจสอบจำกัด
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ว่าที่ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า เวลา 13.5 ชั่วโมง มองว่าค่อนข้างจำกัดน้อยไปเทียบกับผู้ยื่นความจำนงขออภิปรายของพรรคเพื่อไทย 50 คน พรรคฝ่ายค้านอีกประมาณ 100 คน สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯอภิปราย 3 วัน พรรคฝ่ายค้านได้เวลา 20 ชั่วโมง รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้อภิปรายอย่างกว้างขวางทุกประเด็น 5 ปีกว่าไม่มีใครตรวจสอบนโยบายรัฐบาล ขณะนี้ติดปัญหาว่ารัฐบาลยังไม่ส่งร่างนโยบายมาถึงพรรคฝ่ายค้าน ขอร้องให้รีบส่งด้วย
นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่และวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ลดเวลาอภิปรายเหลือ 2 วันน้อยกว่า 30 ชั่วโมง ขอให้ประธานสภาฯทบทวนให้อภิปรายอย่างน้อย 3 วันหรือ 45 ชั่วโมง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประสานงานตกลงเวลาอภิปรายร่างนโยบายของรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้านต้องการเวลา 15 ชั่วโมง แต่วิปรัฐบาลขอลดลง จึงตกลงให้เวลาฝ่ายค้าน 13 ชั่วโมงบวก และพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นข้อเสนอว่าถ้าประท้วงกินเวลาอภิปรายมาก ต้องไปหักในส่วนของซีกรัฐบาล ไม่ยอมให้หักเวลาของฝ่ายค้าน และถ้าเวลาอภิปรายใกล้หมดให้อนุโลมให้ฝ่ายค้านอภิปรายเนื้อหาให้เสร็จสิ้น สุดท้ายจึงตกลงกันได้
“วันชัย” เตือนผู้นำควบคุมตัวเอง
นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวว่า วันที่ 23 ก.ค. สมาชิก ส.ว.จะนัดหารือการอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ให้ ส.ว.อภิปรายเนื้อหาตามความเชี่ยวชาญเนื่องจากเวลาจำกัด ส่วนฝ่ายค้านควรทำหน้าที่ให้พอดีเน้นเนื้อหาสาระ อย่าทำให้เป็นภาพทิ่มแทงโจมตีกัน เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะรับมือและปรับตัวเข้ากับระบบประชาธิปไตยได้ ต่างจากการบริหารสมัยแรกๆที่มาจากการรัฐประหารผู้นำต้องวางบทบาทเข้มแข็ง แต่หากนายกฯไม่สามารถควบคุมบทบาทตนเองได้ อาจเกิดปัญหาหรือกลายเป็นผลเสียเอง
มะกันยินดีไทยกลับสู่ ปชต.เต็มใบ
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเดวิด อาร์ สตีลเวลล์ ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกคนใหม่ เข้าพบนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกฯ นาน 30 นาที จากนั้นนายสตีลเวลล์ ให้สัมภาษณ์ว่าดีใจที่ได้กลับมาเยือนไทย หลังเคยมาในปี 2516 และปี 2562 ถือเป็นปีสำคัญของไทย นอกจากเป็นประธานอาเซียนแล้ว ยังเป็นปีมหามงคลมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ยินดีที่ไทยได้กลับมามีการปกครองโดยพลเรือนอีกครั้ง และรอคอยที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยไปในทิศทางเดียวกัน สหรัฐฯเห็นว่าความเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์กับไทยและอาเซียนถือเป็นเป้าหมายแรกของการลงทุน เรามีความยินดีและดีใจที่เห็นการเลือกตั้งเกิดขึ้น รอคอยที่จะเห็นไทยกลับมามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง

“บิ๊กแดง” ชี้ คสช.จบแล้วอย่าจมกับอดีต
ที่กองทัพน้อยที่ 1 พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.กล่าวถึงกรณีมีการปล่อยข่าวปลอมอ้างคำพูด ผบ.ทบ.เรื่องการอภิปรายนายกฯ จนทำให้สังคมเข้าใจผิดว่า ได้ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่เคยพูด แต่ไม่ฟ้องร้องและไม่กังวลใจกับสถานการณ์การเมืองจากนี้ การดูแลความมั่นคงหลังกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)หมดอำนาจแล้ว ขอให้รอก่อนกำลังเขียนวิทยานิพนธ์หรือบทความเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นและสถานการณ์ในอดีต รวมถึงความเชื่อมโยงต่างๆ พยายามเรียบเรียงมาได้ 2 สัปดาห์แล้ว เป็นเรื่องความมั่นคง โซเชียลและสื่อมวลชนด้วย จากนั้นจะเผยแพร่ต่อไป ที่หลายฝ่ายกลัวว่าปัญหาจะกลับมาเหมือนเดิมอีก ขออย่าอยู่กับอดีต วันนี้ไม่มี คสช.แล้ว ที่มีคนพยายามพูดโยงเรื่องต่างๆยืนยันว่าถ้าจะให้สัมภาษณ์หรือพูดอะไรจะพูดกับสื่อมวลชนเป็นส่วนใหญ่ ไม่เคยแอบไปพูดที่ไหน ไม่ได้ใช้โซเชียล แต่กลับถูกโซเชียลโจมตีเกิดผลกระทบตนรับได้ ตนพูดอะไรออกไปต้องรับผิดชอบ ขณะเดียวกันสิ่งที่ไม่ได้พูด พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนก็ต้องรู้ว่าตนไม่ได้พูด
รธน.เปลี่ยนได้-ใจคนเปลี่ยนยาก
พล.อ.อภิรัชต์กล่าวต่อว่า เรื่อง คสช.หรือเรื่องอะไรแล้วแต่ เราต้องอยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้ประเทศชาติต้องแบ่งแยกว่าตอนนี้กองทัพกลับมาอยู่ในระบบการทำงานของกองทัพแล้ว ไม่ได้เป็น คสช. ไม่มีบทบาทหน้าที่ ตนไม่ใช่เลขาธิการ คสช. ทุกอย่างเป็นอดีต ขอให้ร่วมกันก้าวข้ามและช่วยกันเดินหน้าไป กองทัพเป็นเพียงองค์กรหรือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล กองทัพต้องฟัง รมว.กลาโหม ถึงแม้ รมว.กลาโหมจะเป็นนายกฯ เราต้องยึดตามสายการบังคับบัญชาต้องเชื่อฟัง ส่วนเรื่องเดิมๆผ่านไปหมดแล้ว ทุกอย่างเป็นอดีต ปัจจุบันเรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง มีการตั้ง ครม.ที่สำคัญดีใจที่หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯและญี่ปุ่นส่งหนังสือแสดงความยินดีหลัง ครม.ได้เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯ มีการตอบรับจากอารยประเทศต้นแบบประชาธิปไตย ขอฝากไว้ว่าเรามีประชาธิปไตยแล้วแบบมีจารีตประเพณีวัฒนธรรมของประเทศเรา ทุกประเทศมีแบบของเขา ดังนั้นการออกแบบประชาธิปไตยเรามีการออกแบบไว้แล้ว เชื่อว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ รัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงได้เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย แต่สิ่งที่เปลี่ยนยากคือจิตใจของคน
พท.ติวเข้มทีมอภิปรายนโยบาย รบ.
เมื่อเวลา 14.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคนัดแรกเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ว่า ได้อธิบายและติวเข้มข้อกฎหมายและบทบาทหน้าที่ของพรรคการเมือง 5 เรื่อง คือ 1.การยกระดับการทำงานของพรรคให้เป็นที่พึ่งให้ประชาชนทุกระดับ เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นภายใต้แนวคิด “ประชาชนคิด เพื่อไทยทำ” 2.การเตรียมอภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา จะไม่ใช่เพียงพิธีกรรมจะทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนให้เวทีสภาฯขลังและศักดิ์สิทธิ์ จะเอานักการเมือง 3 รุ่นคือรุ่นใหญ่ กลาง ใหม่ มาติวเข้มการอภิปราย 3.การเลือกตั้งท้องถิ่นพรรคพร้อมส่งทุกระดับทุกจังหวัดและจะจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งท้องถิ่นขึ้นมาออกแบบกติกาและกลไกคัดสรรตัวบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งระดับท้องถิ่น 4.การสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน จะส่งนโยบายนี้ไปยัง ส.ส.ทั่วประเทศและจะรับฟังเพื่อนำมาสู่การแก้ไข 5.การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับ โดยจะมีคณะกรรมการศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ 1 ทีม และมีอีก 1 ทีมเพื่อ ทำงานร่วมกันกับอีก 6 พรรค
7 พรรคเดินสาย 4 ภาคฟังปัญหา ปชช.
ต่อมาตัวแทน 7 พรรคการเมืองประกอบด้วยนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทยในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านและการมีส่วนร่วมของประชาชน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานพรรคร่วมฝ่ายค้าน นายพันธุ์ศักดิ์ ซาบุ ตัวแทนพรรคพลังปวงชนไทยและนายมีชัย ออสุวรรณ ตัวแทนพรรคประชาชาติ แถลงว่า 1.จะมีเวทีเสวนาทางออกแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ โดยพรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาชนจะจัดขึ้นวันที่ 21 ก.ค. ที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เวลา 10.00 น. มีหัวหน้าพรรคทั้ง 7 พรรคมาขึ้นเสวนา เพื่อหาทางออกให้ประเทศทั้งเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เรื่องนโยบาย 2.โครงการฝ่ายค้านเพื่อประชาชนสัญจร จะไปดูปัญหาภัยแล้ง ปัญหาราคาสินค้าเกษตร เดินสายไปทั้ง 4 ภาค เริ่มต้นได้ในเดือน ส.ค.จะแบ่งงานให้แต่ละพรรคเป็นเจ้าภาพแต่ละครั้ง แต่ละพื้นที่ และ 3.การเปิดเวทีรับฟังความเห็นพี่น้องประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเวที 4 ภาค เริ่มต้นเดือน ส.ค.เป็นต้นไป

งัด รธน.ม.98 (15)–ม.160 (6) มัด “บิ๊กตู่”
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขาดคุณสมบัติเป็นนายกฯ จากกรณีที่เคยเรียกนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด มารายงานตัวหลังการปฏิวัติ แต่นายสมบัติไม่ได้มาตามคำสั่ง เพราะมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ กระทั่งศาลฎีกาตัดสินว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้นายสมบัติแพ้คดี ทั้งนี้รัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 98 (15) ระบุชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐทำผิดที่ส่ง พล.อ.ประยุทธ์ลงแข่งเป็นนายกฯ เพราะมีลักษณะต้องห้ามและขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (6) ในเรื่องผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯ นอกจากนี้ พ.ร.บ.ป.ป.ช.ซึ่งถูกบัญญัติไว้ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในมาตรา 4 ระบุชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องมีศักดิ์ศรี อย่ารับตำแหน่งนายกฯ ไม่สง่างามหากถูกอภิปรายในสภาฯจะอารมณ์เสียเปล่าๆ
แฉนักการเมืองชั่วปลูกกัญชาในลาว
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวถึงนโยบายกัญชาเสรีว่า ขอฝากไปถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยว่ากินยาผิดหรือเปล่าที่จะทำให้กัญชาถูกกฎหมาย ประเทศไทยเคยลงนามในอนุสัญญากับยูเอ็นถือว่ากัญชาเป็นสารเสพติด นายอนุทินจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร นอกจากนี้ทราบมาว่ามีนักการเมืองชั่วๆบางคนบางกลุ่มปลูกกัญชาไว้ที่ประเทศลาวจำนวนมากเพื่อหวังรวยอย่างเดียว อยากให้คุณหมอทั้งหลายคิดให้ดีเอาเฉพาะที่จะนำมาเป็นยาก็พอ การที่จะให้ปลูกบ้านละ 6 ต้น ถามว่าจะควบคุมอย่างไรคงเมากันฉิบหายวายวอด
ฉะไม่เหมาะเอาคนมีคดีกบฏคุม ศธ.
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม การอภิปรายนโยบายรัฐบาลในวันที่ 25-27 ก.ค.ว่า ตนจะติดตามการแถลงนโยบายของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด หากพบว่าข้อมูลไม่ตรงหรือมีสิ่งใดผิดปกติรัฐบาลทำอะไรงี่เง่าเลอะเทอะเปรอะเปื้อนพร้อมจะอภิปรายนอกสภาฯคู่ขนานไปกับ ส.ส. รัฐมนตรีแต่ละคนลายพร้อยมีคดีติดตัวเช่น รมว.ศึกษาฯที่มีคดีกบฏ แต่เอาไปดูครูดูแลเด็กมันไม่เหมาะสม

“ธนาธร” แจงเหตุดูงานสหรัฐฯ–อียู
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่พรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงสรุปภารกิจการเยือนสหรัฐฯและยุโรปหลายประเทศว่า หลายคนสงสัยจึงอยากแถลงถึงวัตถุประสงค์ว่ามี 4 ข้อ คือ 1.สร้างเครือข่ายกับ ส.ส.ในต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลหลายประเทศ และภาคประชาสังคมที่เชื่อมั่นหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เพื่อทำงานสะดวกขึ้นในวันที่เราเป็นรัฐบาล 2.ชี้แจงสถานการณ์การเมืองไทยให้องค์กรและเจ้าหน้าที่รัฐที่สนใจ 3.ศึกษาเรียนรู้เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในอียูและสหรัฐฯ และ 4.ดูงานการพัฒนาเมือง เพื่อศึกษาว่านวัตกรรมที่จะนำกลับมาใช้กับประเทศไทย เพราะมีแนวทางเตรียมลงเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งหมดนี้จะกลับมาอยู่ในนโยบายการเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ แต่เป็นทุกเมืองที่จะส่งลงเลือกตั้งระดับ อบจ.
ท้าชนเผด็จการ โต้ไม่ได้ขายชาติ
นายธนาธรกล่าวว่า สรุปได้พบกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย 7 องค์กร เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงต่างประเทศ 4 ประเทศ และอียู 1 แห่ง พบ กมธ.การต่างประเทศ 6 ท่าน สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงสะท้อนความห่วงใยสถานการณ์เมืองไทย ที่หลายประเทศตระหนักและอยากเห็นไทยกลับมาเป็นประชาธิปไตย มีบทบาทนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อกล่าวหาว่าตนหลบหนีขอเรียนว่าตั้งแต่ตั้งพรรคเมื่อปีที่แล้ว เรารู้ว่าการเมืองไทยกำลังต่อสู้กับโจทย์ใหญ่ว่าอำนาจเป็นของใคร เราเชื่อว่าอำนาจเป็นของประชาชน การต่อสู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตยจึงต้องชนกับเผด็จการ ที่แปลงร่างเป็นเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว การเล่นงานผ่านคดีความต้องเกิดขึ้นเตรียมใจมาแล้ว ไม่มีการหลบหนีเด็ดขาด ข้อกล่าวหาว่าตนขายชาติ นิยามคำว่าชาติของอนาคตใหม่คือประชาชน ไม่ใช่ รัฐบาล ไม่ใช่ความมั่นคงของ คสช. ไม่ใช่ความมั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เจตนาเราไม่ได้มีความคิดทำลายชาติเลย คนที่กล่าวหาเราคือคนรับใช้เผด็จการ คนรับใช้เผด็จการต่างหากที่ขายชาติ
เหน็บ รบ.แก้ รธน.ผักชีโรยหน้า
นายธนาธรกล่าวอีกว่า พรรคอนาคตใหม่เตรียมบุคคลไว้อภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาลแล้ว ขอดูนโยบายร่างสุดท้ายก่อน ส่วนนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีการลงรายละเอียดว่าจะแก้ไขเรื่องใด เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดเกี่ยวข้องกับการกุมอำนาจ คสช. ทั้งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มาองค์กรอิสระ ที่มาตุลาการ ที่มา ส.ว.และอำนาจหน้าที่เป็นกลไกใช้สืบทอดอำนาจจะไม่ถูกแก้ไข แต่อาจมีแก้ไขเล็กน้อยบางมาตราแบบผักชีโรยหน้า มาตราที่เป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตยไม่แก้ไขแน่ เพราะนี่คือหัวใจของพวกเขาในการสืบทอดอำนาจ หลังเลือกตั้ง คสช.มลายหายไปแล้ว แต่ยังอยู่กับสังคมไทยในรูปรัฐธรรมนูญ 2560 ถ้าไม่แก้ไขการเดินทางสู่ประชาธิปไตยไทยจะไม่เกิดขึ้น
ฉะศูนย์ต้านเฟคนิวส์ล่าฝ่ายตรงข้าม
น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จะตั้งศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์เซ็นเตอร์ ป้องกันการเผยแพร่ข่าวปลอมว่า ข่าวเท็จในโลกโซเชียลถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลมานาน เราเป็นหนึ่งในเป้าหมายถูกโจมตีทำลายความน่าเชื่อถือมาตลอด จึงกังขาในความตั้งใจจริง เกรงจะไม่ใช่การต่อต้านข่าวลวงหรือหยุดบิดเบือนข่าวปลอม กลายเป็นยกระดับการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมากกว่า เพราะทุกครั้งที่ตั้งข้อกล่าวหาการใช้เฟคนิวส์ หรือการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มักตั้งข้อหาเฉพาะกับผู้โจมตีหรือวิจารณ์รัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลถูกโจมตีไม่เคยมีการดำเนินคดีใดๆ
“ชาลี” ขู่ไม่ขึ้นค่าแรงเดือดร้อนแน่
นายชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงกรณีนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คัดค้านขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท และเสนอให้รัฐจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมให้ลูกจ้างชั่วคราว 6-12 เดือนจนกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นว่า เงินสมทบประกันสังคมกับค่าแรง 400 บาท คนละเรื่องกัน เงินผู้ประกันตนเป็นกลุ่มมีเงินเดือนไม่ใช่กลุ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ควรเอามาปนกัน ปัจจุบันนายจ้างกับลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนฝ่ายละ 5% รัฐจ่าย 2.75% แต่ยังค้างจ่าย 5-6 หมื่นล้านบาท ให้เอามาจ่ายก่อน และควรจะจ่าย 5%เท่ากัน อย่าตีตั๋วเด็กจ่ายครึ่งเดียว รัฐบาลอย่าคิดผิดชะลอปรับขึ้นค่าจ้าง เห็นใจลูกจ้างบ้าง ทุกวันนี้ไม่พอกินข้าวของแพงค่า ครองชีพสูงขึ้นไปหมดแล้ว เรื่องนี้เป็นนโยบายหาเสียงไว้ ถ้าไม่ปรับเพิ่มแม้แต่บาทเดียวเดือดร้อนแน่พูดแล้วทำไม่ได้สมัยหน้าคงไม่มีใครเลือกเข้ามาอีก วันที่ 23 ก.ค. คสรท.จะไปขอพบ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน เพื่อรับทราบชัดเจน
จวกทุกรัฐบาลเมินค่าจ้างแรกเข้า
นายชาลีกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำ มีอนุกรรมการระดับจังหวัดเสนอขึ้นไปให้กรรมการค่าจ้างชุดใหญ่ (บอร์ด) พิจารณา แต่ถูกอดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ประธานบอร์ดค่าจ้างตีกลับให้ไปศึกษาใหม่ เท่ากับที่ทำมาไม่มีประโยชน์แล้วจะมีอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดไปเพื่ออะไร เสนออะไรถูกตีตกหมด ควรจะยุบแล้วไปเพิ่มสัดส่วนให้นักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้องส่วนต่างๆไปอยู่ในบอร์ดค่าจ้าง ที่ผ่านมาภาคแรงงานเคยเสนอให้จัดทำอัตราค่าจ้างแรกเข้าจะได้ไม่ต้องมานั่งถกเถียงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำทุกปี แต่ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจทำ การปรับค่าจ้างขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบอร์ดค่าจ้างในระบบไตรภาคี มีสัดส่วนฝ่ายลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐ เท่าๆกันดูเหมือนจะดี แต่ที่จริงมันล้มเหลวเพราะไม่มีทางที่นายจ้างกับลูกจ้างจะเห็นไปทางเดียวกัน เมื่อต้องได้เสียง 2 ใน 3 คนตัดสินคือรัฐ หากรัฐมีนโยบายอย่างไรจะเป็นไปตามนั้นตลอดมา นี่มัน 7 เดือนแล้ว อย่าชะลอขึ้นค่าจ้างอีกเลย ขอให้พิจารณาไปตามกลไก สภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพ
“ชวน” ตรวจห้องประชุม ส.ว.
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่อาคารรัฐสภาใหม่ ย่านเกียกกาย นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯและนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภานำคณะตรวจสอบความพร้อมเตรียมเปิดใช้ห้องประชุมจันทราหรือห้องประชุม ส.ว. โดยนายชวนได้ทดสอบระบบไมโครโฟน เครื่องเสียบบัตรลงคะแนน ห้องควบคุมเสียงและบัลลังก์ประธานที่เสร็จเกือบ 100% จากนั้นนายชวนกล่าวว่า ห้องประชุมจันทราจุ 350 ที่นั่ง จะให้ใช้เป็นห้องประชุม ส.ส.ด้วย ต้องเสริมที่นั่งและเครื่องเสียบบัตรอีก 150 เครื่อง ให้เพียงพอกับ ส.ส. 500 คน ยังต้องติดตั้งระบบลงคะแนนและไมโครโฟนเพิ่มเติม คาดว่าจะเปิดใช้ได้ประมาณเดือน ส.ค. แต่รองรับได้เฉพาะการประชุม ส.ส.หรือ ส.ว. หากประชุมร่วมรัฐสภา 750 ที่นั่งต้องหาสถานที่ใหม่ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 คงบังคับใช้ไม่ทัน วันที่ 1 ต.ค.2562 โดยจะมีการนำร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 2563 เข้าสู่การพิจารณาวาระแรกวันที่ 18 ก.ย. แต่สภาฯจะปิดประชุมสมัยสามัญสิ้นเดือน ก.ย.เบื้องต้นสำนักงบประมาณประสานมายังสภาฯ เพื่อขอให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเดือน ต.ค. เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯให้แล้วเสร็จ

ร้อง “ธนาธร-ช่อ” ล้มล้าง ปชต.
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด (อสส.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้บุคคลเลิกการกระทำอันมีลักษณะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พบว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกับนักการเมืองระดับสูง สหภาพยุโรปสหประชาชาติ และสื่อหลายประเทศในยุโรปและสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 9-15 ก.ค. มีลักษณะกล่าวเท็จใส่ความประเทศไทยว่า มีการปกครองมิได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย