การเปลี่ยนผ่านจากอำนาจพิเศษ สู่ระบอบ "ประชาธิปไตย" อีกครั้ง ผ่านการซักฟอกด้วยกระบวนการ "เลือกตั้ง" ภายใต้บังเหียนผู้นำหน้าเก่า "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ตีตั๋วต่อแบบแบเบอร์ ยึดเก้าอี้นายกฯรอบสอง ในฐานะนักการเมืองเต็มตัว แบบไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์

เอาเป็นว่าสถานการณ์มาถึงตรงนี้ ก็ยอมรับสภาพกันเป็นนัย ถ้าไม่มีเหตุแทรกซ้อนใดๆ ทุกอย่างก็เป็นไปตามกติกา แต่จุดสำคัญกว่านั้น คือ การบริหารงาน ที่มีโจทย์ยากเร่งด่วน รอรัฐบาล "ลุงตู่" บนเก้าอี้รอบสอง ที่ต้องเปลี่ยนสภาพจากผู้นำรัฐบาลทหาร มาเป็นผู้นำรัฐบาลเลือกตั้ง ไร้เกาะกำบัง อยู่ท่ามกลางดงนักการเมืองเขี้ยวลากดิน แม้กระทั่ง ม.44 ก็หายวับตามร่างแปลง "เผด็จการ" มองแล้วหนทางข้างหน้า มีแต่ขวากหนาม ไม่สวยหรูเหมือนภาคแรกซะแล้ว

โดยเฉพาะโจทย์หินเร่งด่วน อย่างภาวะเศรษฐกิจ ต้องบอกเลยว่าในไตรมาส 2 และ 3 นี้ มีท่าทีส่อชะลอตัวลง จากพิษทางตรงทางอ้อม ของผลพวงสงครามการค้าโลก ระหว่าง 2 ขาใหญ่ต่างขั้ว "จีน-สหรัฐฯ" ที่เริ่มรุนแรงขึ้นอีกคำรบ ภายหลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากมะกัน มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อนตอบโต้กลับ ซึ่งจะทำให้การส่งออกไทยที่เริ่มยวบ ยิ่งแย่ลงไปอีก ประเมินกันว่าเม็ดเงินจะหายไปกว่า 2 แสนล้านบาท เพราะอย่าลืมว่าเศรษฐกิจไทยนั้น พึ่งพาการส่งออก 60-70 % ของจีดีพี ดังนั้นเมื่อการส่งออกทรุดตัว เศรษฐกิจโดยรวมก็จะฟุบตามด้วย เป็นปัญหาวนลูบตามมา ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม แล้วส่งผลย้อนลงไปถึงเศรษฐกิจฐานราก บอกเลยงานนี้ “ทีมงานลุงตู่” มีงานให้แก้ "วัดกึ๋น-น้ำยา" จนโงหัวไม่ขึ้นแน่นอน

...

ประจวบเหมาะกับล่าสุดไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าปีนี้ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ต่ำสุดในรอบหลายปี โดยเศรษฐกิจไทยโตได้เกิน 4% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตามตัวเลขบนกระดานที่ "ลุงตู่" คุยนักคุยหนา ก็เพราะได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกขาขึ้นนั่นเอง

อีกโจทย์ใหญ่สำคัญไม่แพ้ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง คือ ปัญหาปากท้อง ที่ประชาชนคนไทยเผชิญชะตากรรมในรอบหลายปี ด้วยราคาพืชผลที่ขึ้นไม่ทันภาวะเงินเฟ้อ และการเข้ามาแย่งงานของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เหล่านี้กระทบเงินใน "กระเป๋า" และสร้างความ "ลำบาก" ให้คนไทยอย่างยิ่ง แม้รัฐบาลจะอ้างว่าช่วยปรับราคาข้าวสูงขึ้น แต่ต้องไม่ลืมความจริง ชาวนาได้เกี่ยวข้าวขายไปก่อนหน้านี้หลายเดือนแล้ว ราคาข้าวที่พุ่งขึ้นนั้น จึงไม่ช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงปากท้องชาวนาให้ดีขึ้นมากนัก เช่นเดียวกับชาวสวนยาง ที่ต้องกล้ำกลืนกับสภาพราคายาง ขาย 3-4 โลร้อยมาหลายปี ขณะที่ชาวสวนปาล์มก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย ล่าสุดราคาต่อกิโลกรัมต่ำสุดในรอบ 14 ปี ตรงกันข้ามค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ กลับพุ่งสูงขึ้น นี่คือภาพรวมของปัญหาปากท้องเกษตรกร ซึ่งกำลังถาโถมซ้ำเติมชีวิต จากวิกฤติ "ซ้ำซาก" กลายมาเป็นโจทย์ยากที่น่าเป็นห่วง

ด้านหนี้ครัวเรือนก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน ปัญหาแตะลมบนมาหลายปี เห็นได้จากผลวิจัยชี้ชัดว่า คนไทยเป็นหนี้เร็วและมีมูลค่ามาก โดยจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มวัยกลางคน ช่วงอายุ 30-35 ปี มากที่สุดสัดส่วนถึง 68% และในสัดส่วนนี้มีหนี้เสียถึง 20% ซึ่งหนี้เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการลงทุนที่เป็นการก่อร่างสร้างตัว แต่เป็นหนี้ที่เกิดจากการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะภาคเกษตร ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นหนี้กันมากขึ้น ถือได้ว่าเป็นตัวฉุดไม่ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย กระทบต่อกำลังซื้อ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไม่เติบโตเท่าที่ควร

อีกด้านคืองานที่รัฐบาล ต้องเร่งสานต่อ เพราะถือเป็นโปรเจกต์เชื่อมโยงเศรษฐกิจ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ตามรูปการณ์การฟอร์ม ครม.ใหม่ กว่าจะเห็นโฉมหน้ากันชัดๆ ก็อาจลากไปปลายเดือนกรกฎาคม แต่ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ช้าไม่ได้ ขืนรอทีมอเวนเจอร์ ภาค 2 "รัฐบาลลุงตู่" ไม่ทันกินแน่ๆ เพราะเวลานี้ต้องรีบประคองความมั่นใจนักลงทุน ไม่ให้ถอดใจร้องยี้กับสถานการณ์การเมืองไทย ที่ฝุ่นตลบไม่รู้จบ ล่าสุดถือเป็นสัญญาณดี เมื่อรัฐบาล "ลุงตู่ภาคแรก" รีบปิดจ๊อบ 2 โครงการยักษ์อีอีซี มูลค่า 2.7 แสนล้านบาท ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน–ท่าเรือมาบตาพุด เมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน ปิดดีลทันเวลา เร่งเครื่องปักหมุดลงเสาเข็มให้เห็น ชดเชยช่วงเวลาที่รอฟอร์มรัฐบาลใหม่ ผ่านด่านเอกซเรย์คิวซีเข้มๆ ในดง "เสือหิวเสือโหย" แฝงตัวเข้ามา หวังเขมือบกอบโกย ผลประโยชน์จาก "รัฐบาลไทยคู่ฟ้า"

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข และต้องผลักดันให้ดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ที่หาเสียงไว้กับประชาชน รัฐบาลก็ต้องดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีระบบ ไม่ทำให้กระทบกับค่าครองชีพ ก่อนจะขยับค่าแรงขึ้นเป็น 400 บาทต่อวัน เพราะเรื่องนี้ต้องมีความชัดเจน ไม่งั้นได้เห็นผล "ลบ" มากกว่า "บวก" แน่นอน เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคการลงทุนและภาคธุรกิจ

ดังนั้น มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลควรเร่งสตาร์ตหลังฟอร์มทีมเสร็จสิ้น ไม่ควรเน้นแต่มาตรการระยะสั้น "ประชานิยม" เอาใจแฟนคลับ รักษาฐานเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับการวางรากฐาน เพื่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจประเทศด้วย เช่น การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ การปฏิรูประบบบำนาญเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย การปฏิรูปกฎหมาย และลดความเหลื่อมล้ำภายในสังคม เพราะถ้าทำได้ก็จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ว่า รัฐบาลไทยไม่ได้มุ่งเน้นทำเฉพาะนโยบายที่เห็นผลทันที เพื่อหวังผลทางการเมืองเพียงอย่างเดียว 

บอกเลย...งานนี้รัฐบาลใหม่เหนื่อยแน่ โจทย์หินเร่งแก้เพียบ ร่อแร่เมื่อไร ฝ่ายค้านรอขย่ำกินโต๊ะ !!! คิดแล้วเหนื่อยแทน