ความเหนือไปสู่ความเจริญ...
เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ถึงความเป็นผู้นำและความสมานสามัคคีของคนในชาติ ที่พร้อมจะร่วมมือร่วมใจเพื่อต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ
การที่สหรัฐฯประกาศสงครามการค้ากับจีน ที่เปิดฉากขึ้นมาอย่างเข้มข้น ณ เวลานี้ด้วย “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ยังหลงติดคิดว่าสหรัฐฯยังมีความเหนือกว่าทุกประเทศในโลกนี้
แต่ “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนไม่ได้คิดอย่างนั้น
สื่อทางการของจีนได้วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยท่วงทำนองอันแสดงให้เห็นว่า ผู้นำของเขาคิดอย่างไรต่อกรณีนี้
“เศรษฐกิจของจีนเปรียบเสมือนมหาสมุทร หาใช่สระเล็กๆไม่ มรสุมสามารถพลิกเรือให้คว่ำได้ แต่มรสุมมิอาจคว่ำมหาสมุทรได้”
อ้างว่า ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เคยกล่าวเอาไว้
จีนรู้ว่าอเมริกาเล่นเกมสองหน้าด้วยการใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งกับจีน แต่จีนก็รู้ทันจึงวางแผนปฏิบัติไว้อย่างนี้
1.หากใช้วิธีเจรจาจีนพร้อมเสมอที่จะพูดจาต่อรองด้วย
2.หากใช้วิธีทำสงครามการค้า จีนก็พร้อมเสมอที่จะต่อกรและพันตู
นี่เป็นเพียงบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่า จีนพร้อมที่จะใช้วิธีการต่างๆแบบมาไม้ไหนไปไม้นั้น ซึ่งได้มีการเตรียมความพร้อมทุกรูปแบบ
อีกทั้งยังมีข่าวว่า ประชาชนชาวจีนก็ประกาศความพร้อมที่จะต่อสู้กับสหรัฐฯด้วยความสมานสามัคคี
นี่เป็นการแสดงถึงความเป็นชาติของเขาอย่างสมบูรณ์
ลองมาเปรียบเทียบกับการเมืองไทยที่ยังวุ่นวาย ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เมื่อเกิดความแตกแยก ขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจ
ที่สำคัญก็คือ พรรคการเมืองต่างๆก็แย่งชิงโควตารัฐมนตรี ต้องการกระทรวงเกรดเอ
โดยไม่ได้มองว่าสถานการณ์ของประเทศเป็นอย่างไร ยิ่งต้องเผชิญผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งไทยมิอาจหลีกพ้นไปได้
...
ครับ...เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องเร่งรับมือก่อนที่จะสายเกินแก้
แต่ลองนึกภาพที่ซ้อนกันอยู่นั้น ช่วงน่าเวทนาเสียจริงๆ
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ปรากฏคือ ยังไม่มีความชัดเจนว่าขั้วไหนจะได้จัดตั้งรัฐบาล เพราะยังไม่ลงตัวเรื่องโควตากระทรวงที่จะแบ่งให้แต่ละพรรครับผิดชอบ
“ประชาธิปัตย์” ประชุมกันหลายรอบ แต่ก็ยังไม่สามารถชี้ขาดออกมาได้ว่าจะไปทางไหน เพราะมีปัญหาขัดแย้งภายใน
ล่าสุดมติกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.ออกมาว่า ขอเป็นผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติหมายความว่า ต้องการที่จะได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯ
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีว่า พลังประชารัฐได้มอบโควตานี้ให้เพื่อหวังให้มาร่วมตั้งรัฐบาล หากมองอย่างนี้ ความน่าจะเป็นคือมีโอกาสร่วมรัฐบาลกับพลังประชารัฐ เพียงแต่ต่อรองโควตากระทรวงเท่านั้น
อีกซีกหนึ่งอยู่ในอาการหนักในคดี “หุ้นสื่อ” ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาเป็น 2 ประเด็น
1. มติ 9 ต่อ 0 คือเอกฉันท์ให้รับพิจารณาคำร้องนี้
2. มติ 8 ต่อ 1 ให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.
เท่ากับว่านายธนาธรยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. จึงยังไม่สามารถเข้าประชุมสภาได้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมา
เหตุบ้านการเมืองระหว่างจีนกับไทย จึงต่างกันราวฟ้ากับดิน.
“สายล่อฟ้า”