“ธนาธร” แห่งอนาคตใหม่ดิ้น อีกท่าหนึ่งประกาศขอเป็นนายกฯ จัดตั้งรัฐบาลเอง ดึง ภท. และ ชทพ. ร่วมแข่ง พปชร. ที่หนุน “ลุงตู่” ประกาศปุ๊บก็เจอตอเมื่อ กกต.ยื่นศาลให้ตีความเรื่อง “หุ้นสื่อ”

ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้คงอีกไม่นานรัฐบาลชุดใหม่น่าจะก่อเกิดขึ้นมาได้เพราะจะมีการเปิดประชุมรัฐสภาอย่างเป็นทางการในกลางสัปดาห์นี้

รุ่งขึ้นอีกวันก็จะมีการเลือกประธานสภาผู้แทนฯ และประธานวุฒิสภา

เมื่อผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ก็คงจะมีการนัดหมายเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีตามที่พรรคการเมืองส่งตัวแทนเข้าไปเป็นแคนดิเดต

ตัววัดสำคัญที่จะเริ่มไต่บันไดไปสู่เก้าอี้นายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาลก็คือ ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯ

นั่นคือฝ่ายไหนจะได้เก้าอี้ “ประมุข” ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่ต้องได้เสียงสนับสนุนมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง

ว่ากันว่าตัวแปรสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ได้จำนวน ส.ส.นั้นคือ การที่พรรคไทยรักษาชาติมีเหตุต้องถูก “ยุบพรรค” ไป

เป็นนัยที่ทำให้การเมืองขลุกขลักมาถึงวันนี้!!

หากไทยรักษาชาติไม่ถูกยุบ การเมืองน่าจะเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่งที่มองเห็นชัดๆ โอกาสที่ขั้วเพื่อไทยบวกพรรคเครือข่ายชนะการเลือกตั้งแน่และมีโอกาสได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล

ที่น่าสังเกตก็คือ เมื่อไทยรักษาชาติหายไปจากวงจรการเมือง คะแนนสนับสนุนในส่วนนี้จึงตกไปอยู่กับพรรคอนาคตใหม่

คาดว่าน่าจะถึง 30% ทำเอาพรรคคู่แข่งถึงกับล้มตึงไปเลย

หรือเสียงสนับสนุนของประชาธิปัตย์ที่เดินเกมการเมืองผิดพลาดก็มีผลให้คะแนนสนับสนุนที่พึงได้หายไปสู่พลังประชารัฐ

ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 60-80%

เป็นผลให้พรรคการเมืองใหม่ 2 พรรค โดดขึ้นมารั้งอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ

...

“ธนาธร” จึงขึ้นมีบทบาททางการเมืองทันควัน แต่แรกนั้นคงไม่คิดที่จะมองไปถึงเก้าอี้นายกฯด้วยการจับมือกับอีกแนวร่วมพันธมิตรรวม 7 พรรค

ยกให้ “สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” เป็นนายกฯ

เผอิญที่ว่าเสียงยังไม่ถึงกึ่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวเพื่อไปสู่เป้าหมายจึงไม่สามารถดำเนินการ โดยเฉพาะปัญหาเข้ากับพรรค การเมืองอื่นยาก

“ประชาธิปัตย์” ประกาศไปแล้วว่าไม่ร่วมกับ “เพื่อไทย” เด็ดขาด

จนล่าสุดไม่มีทางเลือกอย่างอื่นจึงหันมาสนับสนุน “ธนาธร” ให้เป็นนายกฯ เปิดทางขั้วที่ 3 ด้วยความพยายามที่จะดึงภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนาให้หันมาร่วมมือกัน

แม้จะไม่ผิดกติกา แต่ “ธนาธร” ก็ต้องเสียวุฒิภาวะ-ความน่าเชื่อถือไปพอสมควร เพราะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา

แต่ลีลาทางการเมืองของเขาด้วยการสู้แบบถึงลูกถึงคน ลุยทุกเรื่อง ไม่มีเกรงใจใครจนทำให้สภาพการเมืองปั่นป่วนไม่น้อย

ในส่วนตัว “ธนาธร” เองนั้นยังอยู่ในภาวะ “ลูกผีลูกคน” เมื่อ กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติพบว่ามีปัญหาประเด็นระหว่างสมัคร ส.ส.นั้นยังถือหุ้นสื่ออยู่

จึงยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีความผิดหรือไม่?

เป็นชนักติดหลังที่ยังไม่รู้จะออกหมู่ออกจ่า

ถ้าชี้ว่ามีความผิดจริงก็ต้องจบไปโดยปริยาย อยู่ที่ว่าจะมีโทษอะไรตามมาอีก ก็ต้องติดตามกันต่อไป

ด้วยกระบวนการเมืองมาถึงจุดนี้ที่หวังว่าจะดึงภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนาเข้ามาสนับสนุน แต่ด้วยความเสี่ยงอย่างนี้

แทบจะปิดประตูไปได้เลย!!!

“ลิขิต จงสกุล”