ทำข่าวเลือกตั้งมายาวนานตั้งแต่ครั้งกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบจัดการเลือกตั้งมาหลายครั้งหลายหน
จนมาถึงรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. แล้วถ่ายโอนอำนาจจัดการเลือกตั้งมาเป็นของ กกต.
เหตุการณ์ผ่านมาด้วยดีจนผู้คนในสังคมคุ้นชินกับภารกิจของ กกต.มาถึงชุดนี้เป็นชุดที่ 5 แล้วโดยที่ผ่านมาการทำงานของ กกต.ก็เป็นมาด้วยดีมีเอนเอียงเข้าข้างผู้ถืออำนาจรัฐบ้างก็ต้องโทษจำคุกไปก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว
มาถึงยุคปัจจุบันรัฐธรรมนูญ 2561 เพิ่มจำนวน กกต.จาก 5 คนเป็น 7 คน โดยมีที่มาคล้ายๆกับของเก่า โดยมี นายอิทธิพร บุญประคอง อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีและเอกอัครราชทูตมาก่อน เป็นประธาน ส่วนกรรมการที่เหลือมีสรรหามางวดแรกได้เพียง 4 คนคือ นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี นายปกรณ์ มหรรณพ ซึ่งมาจากสายตุลาการ
แล้วต่อมาสภานิติบัญญัติก็จัดการสรรหามาให้อีก 2 รายคือ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ทนายความ เข้ามาครบจำนวน
กกต.ชุดนี้ได้พยายามทำงานเตรียมการเลือกตั้งไปตามหน้าที่แต่มีสิ่งที่ล่อแหลมจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมก็คือการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบพิสดารมีนัยสำคัญที่คนมองว่าเข้าข้างกลุ่มอำนาจในรัฐบาลที่จะลงเลือกตั้ง
เรื่องแบ่งเขตยังไม่ทันจางหายก็มีข่าวเรื่องการกำหนดรูปแบบใหม่ของบัตรเลือกตั้ง เป็นกระดาษแผ่นยาวๆมีแต่ตัวเลข 1 2 3 ตามลำดับในช่องที่ผู้ใช้สิทธิ์จะเลือกทำเครื่องหมายโดยไม่มีการพิมพ์ชื่อพรรคการเมืองและโลโก้ของพรรคเอาไว้ให้ตรงกับช่องทำเครื่องหมายเหมือนกับบัตรเลือกตั้งที่เคยมีมาครั้งก่อนๆ
...
ใครพบเห็นเรื่องนี้ก็มองทะลุทันทีว่าเป็นการอวยประโยชน์ให้กลุ่มอำนาจในรัฐบาลที่จะลงเลือกตั้งอีกแล้ว
พอมีคนรู้ทันออกมาทักท้วงก็ส่งเจ้าหน้าที่ระดับรองในสำนักงานออกมาแก้ตัวแกนๆอ้างปัญหาการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรบ้างอะไรบ้างชนิดที่นอกจากฟังไม่ขึ้นแล้วยังน่าสมเพชเป็นกำลัง
ทั้งสองเรื่องที่ กกต.ชุดนี้ทำลงไปนับว่ากล้าหาญมากเพราะรู้ทั้งรู้ว่าจะส่งผลอันใหญ่หลวงที่จะกระทบกับทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง
ก่อนการเลือกตั้งก็คือถ้ายอมกลับไปพิมพ์บัตรเลือกตั้งแบบเดิมอาจจะโยงไปว่าเสร็จไม่ทันกำหนดวันเลือกตั้งคือ วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ต้องเลื่อนการเลือกตั้งไปอีก
หลังการเลือกตั้งคือถ้ามีการนำเรื่องขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญแล้วผลออกมาว่า กกต.ทำไม่ชอบ ส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก็ยิ่งยุ่งกันใหญ่
ทั้งหลายทั้งปวงนี้เห็นแล้วนึกถึงเพลง ดาวลูกไก่ ของ พร ภิรมย์ ที่โด่งดังในอดีต ที่มีเนื้อร้องท่อนท้ายว่า “...ส่วนลูกไก่ทั้งเจ็ด เหมือนถูกเด็ดดวงใจ จึงพากันโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ดังกล่าว ด้วยอานิสงส์อันประเสริฐลูกไก่ไปเกิดเป็นดาว”
ทั้งนี้ เพราะ คสช. รวมถึง แม่น้ำอันคดเคี้ยว ทั้ง 5 สายเปรียบเสมือน แม่ไก่ ที่ทำอะไรในบ้านเมืองไว้มากและพยายามสืบต่อท่ออำนาจอีกถ้าเมื่อไหร่ที่ถูกเชือดจนเลือดนองเล้า กกต.อันเป็นลูกไก่ในโอวาทของแม่ไก่ก็จะประสบชะตากรรมจนต้องโดดเข้ากองไฟตายตามแม่ไก่ดังกล่าว
แต่ในเมื่อไม่มีอานิสงส์อันประเสริฐ ลูกไก่ก็คงไม่ได้เกิดอีกต่อไปแถมยังตายไปด้วยความอัปยศมีมลทินติดตัวตลอดไป.
“ซี.12”