เลขาธิการ กสทช. ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึง ปัญหาอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัล ที่เจอกับมรสุมอย่างหนักหน่วงมา 5 ปีเต็มๆ ซึ่งเลขาธิการ กสทช.ยอมรับว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากการประเมินสภาพอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลไม่ตรงกับสภาพของการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ยังเกิดเทคโนโลยี ดิสรัปชันในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ และการใช้บริการโซเชียลมีเดีย ผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ต มากขึ้นหลายเท่าตัว จนทำให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลหลายรายต้องประสบกับปัญหาการดำเนินธุรกิจขาดทุนย่อยยับ

แผนงานปี 2562 ของ กสทช. ต้องการที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาทีวีดิจิทัลในระยะยาว ประกอบด้วยแนวทาง 4 แนวทางด้วยกันคือ 1.เร่งรัดปรับปรุงการใช้งานคลื่นความถี่ย่าน 700 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อนำไปใช้ในการประกอบกิจการโทรคมนาคมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงคลื่นความถี่ดังกล่าว ทั้งผู้ให้บริการทีวีดิจิทัลและผู้บริการโครงข่ายระบบดิจิทัล 2.สนับสนุนการทำงานของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลในส่วนของภาระอันเกิดจากการปฏิบัติตามกฎ Must Carry จนถึงปี 2565 อย่างเป็นธรรม 3.สนับสนุนค่าใช้จ่ายการออกอากาศผ่านโครงข่าย MUX ร้อยละ 50 ของค่าเช่าโครงข่ายจนถึงปี 2565 และ 4.สนับสนุนให้มีการสำรวจความนิยมของผู้บริโภคหรือเรตติ้งผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ต

สำหรับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโทรศัพท์เคลื่อนที่ กสทช.มีแผนขับเคลื่อน 5G ให้เกิดในปี 2563 กำหนดหลักเกณฑ์การประมูลหลายคลื่นความถี่พร้อมกันตั้งแต่ 700 เมกะเฮิรตซ์ พ่วงกับ 2600 หรือ 3500 เมกะเฮิรตซ์ พ่วงกับ 26 เมกะเฮิรตซ์ เป็นต้น

แม้ กสทช. พยายามจะจูงใจในการออกมาตรการช่วยเหลือแก้ปัญหาอุตสาหกรรมดิจิทัลอย่างไรก็ตาม เป็นการช่วยที่ปลายเหตุทั้งสิ้น เพราะอย่างไรเสีย การชำระค่างวดการประมูลทีวีดิจิทัลซึ่งเข้าใจว่าเป็นงวดสุดท้าย ก็ยังต้องเป็นไปตามกำหนดอยู่ดี

...

ความจริงแล้วต้นเหตุของปัญหาการขาดทุนของทีวีดิจิทัลหลักๆ อยู่ที่การประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของ กสทช. การตั้งต้นราคาประมูลที่สูงขนาดนั้นจะต้องคำนึงถึงเม็ดเงินโฆษณาและสภาพของเศรษฐกิจประเทศด้วย สิ่งที่แตกต่างจากในอดีตคือ จำนวนช่องทีวีที่เพิ่มขึ้นจาก 5-6 ช่องเป็น 20 กว่าช่อง ในขณะที่เม็ดเงินโฆษณาหดลงจากเดิมหรืออย่างดีก็เท่าเดิม ไม่ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรก็ขาดทุนอยู่วันยังค่ำ เพราะต้นทุนที่สูงเกินไป

ในอนาคตมีแนวโน้มว่าประชากรจะเสพสื่อทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 70 ด้วยซ้ำไป คนดูทีวีจากโทรทัศน์น่าจะเหลือแค่ประมาณร้อยละ 29 ดูจากสื่อสิ่งพิมพ์แค่เปอร์เซ็นต์เดียว ยิ่งถ้าระบบ 5G เปิดให้บริการเมื่อไหร่ เตรียมตัวผูกคอตายได้เลย การเอาเรตติ้งมาวัดการอนุมัติลงโฆษณาจะฆ่าทีวีดิจิทัลที่ต่ำกว่าท็อปเทนให้ตายสนิท รวมทั้งบรรดาแรงงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมสื่อทั้งหลายจะตกงานแบบสะสมจากปัจจุบันถึงอนาคต.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th