กังขา ข้อหา “นายพล”

เรื่องราวเกี่ยวกับหวย 30 ล้าน เมืองกาญจน์ คงจะเป็นตำนานเล่าขานกันไปอีกนาน แม้จะมีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว 2 ราย

แจ้งข้อหานายตำรวจยศ พล.ต.ต.ซึ่งเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี มีความผิดตาม ม.157

คือละเว้นและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

แยกย่อยลงไปอีกนิดผลการสอบสวนพบว่านายตำรวจท่านนี้ไม่ได้ทุจริต แต่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ทำงานด้วยวุฒิภาวะต่ำ ขาดประสบการณ์ ขาดทักษะความชำนาญในการทำงานด้านการสืบสวนสอบสวน

เมื่อมีทนายความออกมาเคลื่อนไหวว่าจะฟ้องหรือตำหนิการทำงาน เจ้าตัวคงตกใจ เลยกอดคอไปด้วยกันกับ “ครูปรีชา” เพื่อให้เรื่องไปจบที่ศาล

เรื่องก็มีเท่านี้...

แต่หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงคำให้การ อายัดบัญชีธนาคารจะถูกหรือผิด ผู้การฯ เชื่อว่าฝ่ายครูปรีชาถูก จากนั้นจึงมีขั้นตอนการทำสำนวน เพื่อให้มีพยานหลักฐานสั่งฟ้องไปที่อัยการ

“เรื่องนี้เหมือนถูกสะกดจิตหมู่ เชื่อคนใกล้ชิด”

เป็นคำบอกเล่าของ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. ที่ร่ายยาวเป็นตุเป็นตะถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นและย้ำนักจิตวิทยายังตอบได้เลยว่าใครจริงใครปลอมชี้ไปแล้วไม่ต้องการให้ใครติดคุกติดตะราง

ความจริงหากคำตอบออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากกว่านี้สังคมคงไม่รู้สึกเอะใจเท่าใด แต่เพราะบอกว่าเป็นเรื่อง “ความเชื่อ” จนเกิดเป็น “อุปาทานหมู่”

นั่นแหละ...ปัญหามันอยู่ตรงนี้ว่าน่าเชื่อถือแค่ไหน?

เท่ากับเป็นว่า “ครูปรีชา” นั้นมีความสามารถพิเศษระดับ “กล่อมลิงหลับ” พูดจาทำให้ฝ่ายสนับสนุนเกิดความเชื่อถืออย่างสนิท

แม้กระทั่งนายตำรวจใหญ่ระดับ “นายพล” ยังให้ความเชื่อถือจนกระทั่งไปสั่งให้มีการอายัดเงินในธนาคาร สั่งให้แก้ไขสำนวนด้วยความเชื่อว่าลอตเตอรี่นั้นไม่ใช่ของ “ลุงจรูญ”

...

ความจริงในเรื่องนี้มีคำถามอยู่ 2 ประเด็น

1.เชื่อ เพราะเป็นไปอย่างที่ “ครูปรีชา” บอกเล่า

2.เชื่อ เพราะมีแรงจูงใจจากหวยที่มีราคาค่างวดถึง 30 ล้าน

ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะหากเป็นไปอย่างที่มีการแถลงผลคดีว่าเป็นการ “ถูกสะกดจิตหมู่” จึงมั่นใจอย่างนั้น

แต่ประเด็นที่ 2 นั้น ก็เพราะมีข้อมูลว่ามีการเรียกตัว “ลุงจรูญ” ไปพบเพื่อเจรจาให้มีการแบ่งเงินกันทุกอย่างจะได้จบ

หรือการให้ปากคำของ ร.ต.ท. รอง สว.ซึ่งทำสำนวนการสอบสวนแต่ถูกกันให้เป็นพยานที่ให้การว่าถูกคำสั่งให้แก้ไขเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคู่กรณีบางฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายได้รับความเสียหาย

อีกคำถามก็คือนายตำรวจระดับผู้บังคับการจังหวัดไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะรับรู้หรือไม่ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ อะไรควรเชื่ออะไรไม่ควรเชื่อ

วิธีการพิสูจน์ก็ต้องทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง

แต่นี่เล่นไปเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งอย่างออกหน้าออกตาและทำสำนวนเพื่อเล่นงานอีกฝ่ายหนึ่งหลังจากตกลงกันไม่ได้

การที่ บช.ก และกองปราบปรามเข้ามาสอบสวนได้ข้อเท็จจริงระดับหนึ่งจนได้รับคำชมเชยจากประชาชนสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้ภาพพจน์ตำรวจดีขึ้น

แต่พอมาถึง “มนตร์ดำ” สะกดจิตหมู่นี่แหละครับ...จบเลย.

“สายล่อฟ้า”