ปฏิรูปเพื่อปฏิรูป ไม่ใช่ปฏิรูปเพื่อรอปฏิรูปครับ...เพราะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ มีความจำเป็นต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
เหมือนอย่างที่ผ่านมา คสช.ได้แต่งตั้ง สปช. ด้วยภารกิจในการวางกรอบการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ปรากฏว่าต้องล้มไปโดยปริยาย
นั่นเพราะไม่ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจ แต่ไปทำนอกภารกิจ
คสช.จึงต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้ สปช.ชุดนั้นพ้นจากตำแหน่งหลังจากที่รัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างโดย ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ไม่ผ่านความเห็นชอบ
สปช.ชุดนี้ก็ถูกโละทิ้งไปโดยปริยาย
มีการตั้ง สปท.ขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ไม่ต่างกันจนกระทั่งพ้นวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้วทั้งชุด
ว่าไปแล้ว สชป.ดีกว่า สปท.พอสมควร แต่ก็ไม่มากเท่าใดนัก เนื่องจากยังทำงานไม่เข้าเป้าเท่าใดนัก
พูดง่ายๆว่าผลงานไม่คุ้มค่าเงินเดือน
เพราะหากว่าคนที่มีโอกาสได้เข้าไปทำหน้าที่สำคัญอย่างการปฏิรูปนั้น อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเป็นพื้นฐานมาก่อนคำว่า “ปฏิรูป” เพื่อที่จะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลออกมาดี
สำคัญยิ่งอยู่ตรงที่จะต้องปฏิรูปตัวเองพร้อมไปด้วย
แต่อย่างว่าแหละ ปัญหาของประเทศนี้แม้จะมีหลักเกณฑ์ หลักการ มีกฎหมาย กฎระเบียบข้อบังคับดีอย่างไร หาก “คน” ยังไม่ยอมปฏิรูปตัวเองมันก็ไปได้ยาก
เหนืออื่นใดเมื่อ สปท.พ้นวาระไปแล้วได้มีการส่งมอบผลงานให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เพื่อนำไปดำเนินการต่อให้เสร็จเรียบร้อยตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ก็ต้องกำหนดรูปแบบการดำเนินงาน
พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนปฏิรูปที่ผ่านมาออกมาเป็นกฎหมายใช้บังคับนั้นได้กำหนดให้มีคณะกรรมการปฏิรูปคณะละ 15 คน จำนวน 11 คณะ มีเวลาทำงาน 5 ปี
...
หากคำนวณตัวเลขดูแล้วก็จะต้องแต่งตั้งบุคคลเข้ามาทำงานเป็นกรรมการแต่ละชุดทั้งหมดก็ 165 คน
ถือว่ามีจำนวนไม่น้อยพอๆกับ สปท.เลยทีเดียว
ด้วยจำนวนที่มองเห็นนี้จึงไม่แปลกว่าบรรดา สปท. แม้จะต้องพ้นวาระ แต่สังเกตดูได้ว่าไม่ค่อยจะอินังขังขอบเท่าใดนักว่าจะต้องตกงาน ไม่ได้รับเงินเดือนเหมือนที่ผ่านมา
คิดอีกทีก็เพราะคงคาดหวังว่าจะมีเก้าอี้มารองรับต่อ คือคณะกรรมการปฏิรูปทั้ง 11 ชุดนี่แหละ หนำซ้ำยังอยู่ตำแหน่งยาวถึง 5 ปีอีกด้วย
ไม่ใช่ว่าจะมีแค่เก้าอี้ ส.ว. 250 คน ที่ คสช.แต่งตั้งเท่านั้น
มาถึงตรงนี้ก็อยากบอกกล่าวไปถึง คสช.ที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปจำนวน 165 คน ว่าจะต้องพิจารณาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถในแต่ละสาขาที่เหมาะสมกับภารกิจ เพราะงานนี้เข้าสู่สถานการณ์ที่เป็นจริงแล้ว
ไม่ใช่สร้างกรอบปฏิรูป แต่เป็นเนื้อหาสาระที่จะนำไปใช้จริงๆ
จึงควรที่จะพิจารณาสรรหาบุคคลที่มีความจริงใจ มีความรู้ความสามารถ มุ่งมั่นที่จะทำให้การปฏิรูปออกมาดีจริงๆ เป็นความหวังของประเทศได้
ที่สำคัญก็คือการปฏิรูปไม่เกี่ยวกับความมั่นคง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเอาแม่ทัพนายกองเข้ามาสวนสนามในงานนี้ แต่ควรจะเปิดกว้างให้คนที่มีความสามารถจริงๆ
เพราะค่าใช้จ่ายเพื่อการปฏิรูปครั้งนี้มันจะแพงเกินไปเสียแล้ว.
“สายล่อฟ้า”