ผลพวงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด–19 ทำให้ธุรกิจการค้า การท่องเที่ยวของประเทศมีสภาพตายทั้งเป็น มีผู้คนตกงานนับล้านคน กลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล
กรรมาธิการการเงินการคลัง สภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อศึกษาดูงานด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้าชายแดน หลังวิกฤติโควิด-19 เมื่อวันก่อน แต่ตกใจเมื่อพบว่าหลายพื้นที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ แต่ปัจจุบันมีสภาพไม่ต่างจากเมืองร้าง

โดยเฉพาะย่านการค้า บริเวณชายแดนไทย–มาเลเซีย อ.สะเดา จ.สงขลา มีสภาพไร้นักท่องเที่ยว เงียบยิ่งกว่าป่าช้า การค้า การท่องเที่ยวยังเดินหน้าไปไม่ได้ จึงได้จัดสัมมนาระดมรับฟังความคิดเห็นขึ้นที่โรงแรมเดอะวิสต้า บ้านด่านนอก อ.สะเดา จ.สงขลา
...
มีนักธุรกิจ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากในพื้นที่ และจาก จ.ปัตตานี ยะลา สตูล สงขลา นราธิวาส เข้าร่วมรับฟังกว่า 500 คน เพื่อเก็บข้อมูลนำเสนอต่อรัฐบาลแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ โฆษกคณะกรรมาธิการการเงินการคลังฯ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ นำโดย นายสมศักดิ์ พันธ์เกษม ประธานคณะกรรมาธิการฯ และ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม รองประธานกรรมาธิการฯ ลงสำรวจพื้นที่พบว่า เศรษฐกิจไทยได้ส่งสัญญาณที่มีทิศทางสู่ภาวะถดถอยอย่างชัดเจนกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ความพยายามในการเพิ่มและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงได้รับการผลักดันมากขึ้น ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในทุกด้าน และสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจ ส่งผลเชิงลบต่ออัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย

เมื่อเกิดการคุกคามจากโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงต้นปี 63 ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการป้องกันการระบาด ด้วยการปิดสถานที่ และงดการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราว เกิดประสิทธิผลต่อการหยุดการระบาด
แต่การหมุนเวียนของการประกอบธุรกิจแทบทุกประเภทต้องหยุดลง ก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยอย่างกะทันหัน รวมถึงการค้าภายในประเทศและการส่งออกต่างประเทศ

...
ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องหยุดการประกอบกิจการ บุคลากรหลากหลายกลุ่มเผชิญกับภาวะตกงาน ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาและเยียวยา รัฐบาลจึงได้จัดให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเสริมสภาพคล่องและจัดหาแหล่งเงินทุน ตลอดจนการชะลอหนี้สินและค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจและประชาชน แต่ช่วยได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น
ดังนั้น คณะกรรมาธิการการเงินการคลังฯ จึงเห็นความสำคัญที่ต้องรับฟังและสร้างความรู้ความเข้าใจให้ตรงกันถึงแก่นแท้ของปัญหา และให้ตรงกับความต้องการของประชาชน จึงได้จัดสัมมนาเรื่อง การพัฒนาการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว บนความปกติใหม่อย่างยั่งยืน

...
เพื่อระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆในท้องถิ่น ก่อนจะไปดำเนินการวิเคราะห์สรุปผลเพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้รับทราบและนำไปจัดทำนโยบายให้เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงินและสังคม จำนวน 10 ท่าน และตัวแทน องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น มาร่วมเป็นวิทยากร
“ประชาชนที่เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ต่างรู้สึกมีความหวังในการฟื้นฟูธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยว การค้าชายแดน ซึ่งบ้านด่านนอกได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 มากที่สุดนานที่สุด ปัจจุบันบ้านด่านนอกมีโรงแรมจำนวน 46 แห่ง สถานบันเทิง ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ประชาชนที่ได้รับผลกระทบประมาณ 5,000 คน บางส่วนต้องย้ายกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม” ดร.อิสระ กล่าว

...
ดร.อิสระ ยังกล่าวอีกว่า กรรมาธิการได้มาศึกษาเก็บข้อมูลในพื้นที่พบว่าปัญหาวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อบ้านด่านนอกอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันภาคธุรกิจเป็นหนี้ธนาคารรัฐในพื้นที่บ้านด่านนอกประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อหนึ่งธนาคาร
คณะกรรมาธิการฯ ได้รับข้อมูลจากธนาคารพาณิชย์ ทำให้ทราบว่ามีลูกหนี้รวมกว่า 50,000 ล้านบาท หากไม่ช่วยเหลือแก้ไข ก่อให้เกิดหนี้เอ็นพีแอล ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างทันที กรรมาธิการชุดนี้จะเข้ามาแก้ไขในเรื่องที่ชาวบ้านร้องขอ เช่น เปิดจุดผ่อนปรนในพื้นที่ การยืดระยะพักหนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2564

รวมทั้งการเปิดด่านสะเดาแห่งใหม่ ไม่ให้มีผลกระทบต่อการค้าชายแดน ที่มียอดนำเข้า-ส่งออกสูงมาก บ้านด่านนอกเป็นเมืองที่เติบโตเร็ว เพียงระยะ 20 ปี ต่างกับเมืองในภูมิภาคอื่น ต้องใช้เวลานับ 100 ปีกว่าจะเติบโต มีโรงแรมขนาดใหญ่ มีนิคมอุตสาหกรรม บ้านจัดสรรหากรัฐบาลไม่ช่วย สภาพเศรษฐกิจทุกอย่างจะพังพินาศหมด.
สุวิทย์ แก้วห่อนาค
(ภาพ : บรรยากาศบริเวณหน้าด่านสะเดา จ.สงขลา ชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ปัจจุบันมีสภาพคล้ายเมืองร้าง รอการพลิกฟื้นสภาพเศรษฐกิจ.)