“ข้าวแสงแรก เป็นข้าวเหนียวพื้นเมืองสีแดง ชาวบ้านในจังหวัดปลูกกันมาช้านานแล้ว ส่วนใหญ่ปลูกร่วมกับข้าวนาปีไว้กินเองด้วยให้ผลผลิตน้อยแค่ไร่ละ 400-500 กก. จึงไม่นิยมปลูกกันนัก แต่เพราะมีกลิ่นหอม อร่อย นุ่ม มักถูกนำไปผสมกับข้าวเหนียวพันธุ์อื่นเพื่อเพิ่มรสชาติและความหอม ปัจจุบันคนปลูกกันน้อย เพราะหันไปปลูกพันธุ์ข้าวที่ตลาดต้องการ เลยทำให้ข้าวพันธุ์นี้มีโอกาสเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์สูง”

คุณหญิงพรรณทอง มณีศิลป์ ประธานบริษัทข้าวแม่ ผู้ริเริ่มรวบรวมอนุรักษ์พันธุ์ข้าวและส่งเสริมให้ชาวนา จ.อุบลราชธานี ปลูกและรับซื้อผลผลิต เล่าถึงที่มาของข้าวแสงแรก...เดิมชาวบ้านเรียกข้าวเหนียวแดง แต่ไม่นิยมปลูกเพราะไม่มีใครรับซื้อ ทำให้ยังไม่มีงานวิจัยใดๆมารองรับ แต่ด้วยเห็นว่าเป็นข้าวเหนียวเมล็ดแดงเรียวสวย เมื่อหุงยังนุ่มกว่าข้าวเหนียวทุกพันธุ์ แถมยังมีกลิ่นหอมคล้ายวนิลา

ที่สำคัญพบว่า...ชาวบ้านที่กินพันธุ์นี้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง มักไม่เป็นโรคเบาหวาน และมะเร็ง

ปี 2557 จึงได้ตระเวนรวบรวมสายพันธุ์ เพื่อนำมาวิเคราะห์ในระดับห้องปฏิบัติการจากแล็บเอกชน เพื่อหาคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมกับตั้งชื่อข้าวเหนียวแดงใหม่เป็น “ข้าวแสงแรก” เพราะปลูกในพื้นที่ตั้งอยู่เส้นแวง 105 องศาตะวันออก ถือเป็นจังหวัดแรกของไทยที่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น

...

จากการวิเคราะห์ พบมีดัชนีน้ำตาลต่ำ เมื่อกินเข้าไปมีค่าน้ำตาลกูลโคสแค่ 8.59 กรัมต่อข้าว 100 กรัม น้อยกว่าข้าว กข 43 และพิษณุโลก 80 ที่มีค่าปริมาณน้ำตาลกลูโคส 21.8 และ 23.9 กรัม

นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีธาตุทองแดง ธาตุเหล็ก เบตาแคโรทีน วิตามินอี ลูทีน ช่วยลดอัตราการเกิดของโรคมะเร็ง ลดอัตราความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจ โรคความจำเสื่อม ไขข้ออักเสบ ชะลอความแก่

เพื่อเพิ่มมูลค่าและคุณประโยชน์จึงนำข้าวแสงแรกมาผสมกับข้าวพันธุ์อื่น และเติมหัวเชื้อไบโอเอนไซม์ พร้อมกับส่งไปตรวจยังห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อ ปี 2560 พบว่า มีกรดอะมิโนเพิ่มขึ้นหลายชนิด มีกาบาสูงถึง 124 กรัมต่อข้าว 100 กรัม มีสารกลุ่มสื่อประสาทลดความเครียด ทำให้ผ่อนคลาย และมีซีลีเนียมมากกว่าพืชชนิดอื่น ช่วยชะลอริ้วรอย ป้องกันมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองตีบ บรรเทาอาการวัยทอง ช่วยเพิ่มจำนวนสเปิร์มและประสิทธิภาพทางเพศ

ปัจจุบันข้าวแสงแรกได้รับการจดสิทธิบัตรกรรมวิธีการผสมข้าวกับไบโอเอนไซม์ ขณะที่ศูนย์วิจัยข้าวอุบลราชธานีอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล คัดเลือก ศึกษา สายพันธุ์ เพื่อประโยชน์ต่อการขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าว และขอจีไอ เพื่อให้ได้เป็นของดีประจำถิ่นต่อไป สนใจติดต่อได้ที่ 08-6789-8345.

กรวัฒน์ วีนิล