คุมโจรฉกเพชร 10 กะรัตของพ่อค้าชาวอินเดียไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ อ้างเคยรวยเป็นถึงเจ้าของธุรกิจจิวเวลรีเมืองจันท์ รู้จักในชื่อ “เสี่ยเอ” แต่ติดการพนันหนักจนธุรกิจเจ๊ง วางแผนเปิดร้านเพชรล่อเหยื่อจนสำเร็จ ส่วนเพชรของกลางเอาไปขายในบ่อนฝั่งเขมรแล้วราคา 5.5 แสนบาท แล้วเอาเงินไปแทงพนันจนหมดตัว พนักงานสอบสวนส่งฝากขังศาลอาญากรุงเทพใต้พร้อมค้านประกันตัว ไม่มีใครมาประกันส่งเข้าเรือนจำทันที สอบประวัติพบเปลี่ยนชื่อนามสกุลเป็นว่าเล่น ก่อคดีมาแล้ว 9ครั้ง ตั้งแต่ปี 2533-2559 ค้านคำให้การว่าทำธุรกิจจิวเวลรี ชุดสืบสวนเร่งขยายผลหาลูกสมุนชายเขมรที่พาหนี และนักค้าเพชรสาวที่แนะนำให้เหยื่อรู้จักคนร้ายว่ามีเอี่ยวร่วมขบวนการหรือไม่

กรณีแก๊งคนร้ายลงทุนเช่าอาคารพาณิชย์เลขที่ 426/2-3 ซอยสองพระ ถนนสี่พระยา แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กทม. เปิดร้านเครื่องประดับ จนนายวีกี้ ไวบัส อายุ 44 ปี นายหน้าค้าเพชรชาวอินเดียหลงเชื่อ นำเพชรน้ำหนัก 10 กะรัต มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาทไปเจียระไน คนร้ายออกอุบายขอนำเพชรไปส่องกับแสงแดดหน้าร้าน ก่อนวิ่งหนีไปขึ้นรถ จยย.ที่เพื่อนร่วมแก๊งรออยู่หลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.บางรัก รวบรวมหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับนายภิพัศพงษ์พัศฐ์ สุขสวัสดิ์พิพัฒน์ อายุ 59 ปี ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.778/2561 ลงวันที่ 13 ธ.ค.2561 ข้อหาร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ตามจับกุมได้ที่จังหวัดจันทบุรี นำตัวมาสอบสวนที่ สน.บางรัก ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ธ.ค. พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.พัฒนา เพศยนาวิน ผบก.น.6 พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.บางรัก พ.ต.ท.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ รอง ผกก.สส.สน.บางรัก และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางรัก คุมตัวนายภิพัศพงษ์พัศฐ์ สุขสวัสดิ์พิพัฒน์ อายุ 59 ปี อยู่เลขที่ 160 ม.6 ต.บ้านทราย อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มาชี้จุดเกิดเหตุและทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่อาคารพาณิชย์เลขที่ 426/2-3 ซอยสองพระ ถนนสี่พระยา แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กทม. โดยมีนายวีกี้ ไวบัส ผู้เสียหายชาวอินเดียร่วมสังเกตการณ์ด้วย ใช้เวลาทำแผนประมาณ 20 นาทีแล้วพาตัวไปฝากขังศาลอาญากรุงเทพใต้ทันที

...

พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหารับสารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุจริง เนื่องจากผู้ต้องหามีความรู้ด้านอัญมณีและค้าขายเพชรมานาน แต่ก่อนเป็นเจ้าของกิจการค้าขายอัญมณีที่ จ.จันทบุรี ฐานะร่ำรวย คนในวงการค้าเพชรเรียกว่า เสี่ยเอ แต่ตอนหลังติดการพนันอย่างหนักและประสบปัญหาทางธุรกิจ จึงปิดกิจการมีเงินเหลือติดตัวแค่ 40,000 บาท จึงวางแผนก่อเหตุโดยนำเงิน 10,000 บาท มาเช่าอาคารเกิดเหตุเปิดเป็นร้านเพชร เงินอีก 10,000 บาทมาติดตั้งระบบประตูรีโมต และใช้เงินอีก 10,000 บาท จ้างนายตั้ม ชาวเขมร คนเข็นผักที่ จ.จันทบุรี มาทำหน้าที่ขี่รถจักรยานยนต์พาหลบหนี เหลือเงินอีก 10,000 บาท ไว้ใช้จ่ายทั่วไป

“หลังก่อเหตุ ซ้อนท้ายรถ จยย.ฮอนด้าเวฟ 100 เอส สีน้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน หลบหนีไปย่านวัดดวงแข ถนนรองเมือง เขตปทุมวัน จอดรถทิ้งไว้แล้วแยกย้ายกันหลบหนี นายภิพัศพงษ์พัศฐ์ ขึ้นรถโดยสารสาธารณะไปย่านคลอง 6 จ.ปทุมธานี เพื่อขับรถวอลโว่ รุ่นเอส 80 สีเขียว ทะเบียน ฌห 7271 กรุงเทพมหานคร ของตัวเองหลบหนีไป จ.จันทบุรี ข้ามชายแดนนำเพชรไปขายให้ชาวต่างชาติคนหนึ่งในบ่อนกาสิโนราคา 550,000 บาท และนำเงินมาจ่ายค่าจ้างคนพาหลบหนี 100,000 บาท เงินที่เหลือนำไปเล่นการพนันในบ่อนจนหมดตัว จึงเดินทางกลับเข้าประเทศไทยแล้วถูกจับกุมในที่สุด” ผบช.น.กล่าว

ด้านนายวีกี้ ไวบัส อายุ 44 ปี ผู้เสียหายเผยว่า ตนเคยเจอคนร้ายครั้งแรกตอนที่คนร้ายเปิดบูธขายเพชรในงานจิวเวลรีที่เมืองทองธานีประมาณ 1 ปีที่แล้ว จากนั้นตนต้องการขายเพชร 1 เม็ดน้ำหนักมากกว่า 10 กะรัต เน้นรับเป็นเงินสดราคา 10 ล้านบาท มีนายหน้าผู้หญิงชื่อรัศมีแนะนำให้รู้จักกับคนร้าย เนื่องจากเป็นเจ้าเดียวที่สามารถหาคนซื้อและจ่ายเป็นเงินสดได้ หลังพูดคุยกันเป็นเวลา 10 วันเจอกันมาแล้ว 2 ครั้ง และติดต่อทางโทรศัพท์กับคนร้ายตลอด คนร้ายขอต่อรองราคาเหลือ 7-8 ล้านบาท กระทั่งวันเกิดเหตุนัดตกลงราคากันอีกครั้งพร้อมปิดการขาย คนร้ายออกอุบายให้รอในร้านแล้วขโมยเพชรหลบหนีไป

มีรายงานด้วยว่า ชุดสืบสวนตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาเปลี่ยนชื่อ-สกุลมาแล้ว 6 ครั้ง กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว 9 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2533-2559 โดนข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย สน.บางรัก ในชื่อนายมาโนช โพธิ์ศรี โดนข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ สภ.เมืองกาญจนบุรี และข้อหาร่วมกัน ปล้นทรัพย์ สภ.เมืองนครราชสีมา ในชื่อนายตู้อู่ สุขสวัสดิ์พิพัฒน์ โดนข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ สน.ปทุมวัน ในชื่อนายวสุรัตน์ สุขสวัสดิ์พิพัฒน์ โดนข้อหาลักทรัพย์ สน.ตลิ่งชัน ข้อหาร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ สน.บางโพงพาง และข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ สภ.แสนสุข ในชื่อนายจิรพัฒน์จิตต์ สุขสวัสดิ์พิพัฒน์ และโดนข้อหาร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ สภ.เมืองจันทบุรี และข้อหาร่วมกันกับพวกที่หลบหนี ลักทรัพย์ผู้อื่นโดยใช้ยานพาหนะ สภ.บางบัวทอง ในชื่อนายภิพัศสพงษ์พัศฐ์ สุขสวัสดิ์พิพัฒน์

มีรายงานอีกว่า ขณะนี้ชุดสืบสวนกำลังขยายผลตามจับกุมนายตั้ม ชาวเขมรที่ขี่รถ จยย.พาหลบหนี และผู้หญิงชื่อรัศมีที่แนะนำให้เหยื่อรู้จักผู้ต้องหา เพื่อสอบสวนว่า รู้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้จากการตรวจสอบรถวอลโว่ของคนร้าย ปรากฏว่า มีตราสำนักอัยการสูงสุด ตราเรือนจำจันทบุรี และภายในรถมีบัตรอนุญาตรถเข้าออกเรือนจำจันทบุรี คนร้ายให้การว่า ซื้อมาเองเพื่อติดไว้ให้บุคคลทั่วไปพบเห็นคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ

สายวันเดียวกัน ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานสอบสวน สน.บางรัก ควบคุมตัวนายภิพัศพงษ์พัศฐ์ สุขสวัสดิ์พิพัฒน์ หรือเสี่ยเอ อายุ 59 ปี ผู้ต้องหาคดีวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะมายื่นคำร้องฝากขัง คำร้องบรรยายว่า เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ผู้ต้องหาทำทีเปิดร้านเพชรที่อาคารพาณิชย์เลขที่ 426/2-3 ซอยสองพระ ถนนสี่พระยา แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก พอมีลูกค้าเอาเพชรมาขายออกอุบายนำเพชร 10 กะรัต มูลค่า 10 ล้านบาท ของนายวีกี้ ไวบัส อายุ 44 ปี นายหน้าค้าเพชรชาวอินเดีย ที่นำมาเจียระไนไปส่องกับแสงธรรมชาติ ก่อนหนีขึ้นรถ จยย.ที่คนร้ายอีกคนรออยู่หลบหนีไป ถูกจับกุมได้ขณะเข้าแถวตรวจเอกสารผ่านแดนเข้าประเทศกัมพูชา บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จ.จันทบุรี ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จต้องสอบพยานหลายปาก ขอฝากขังไว้ 12 วัน ตั้งแต่ 15-26 ธ.ค.61

...

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เพราะเกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้ ทั้งนี้ ไม่มีญาติผู้ต้องหามายื่นคำร้องขอประกันตัวแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป