ผบ.ตร.ร่วมอธิบดีกรมศุลกากรและอธิบดี กรมสรรพสามิต แถลงโชว์ผลงานตำรวจน้ำ จับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนผู้ต้องหาเป็นกัปตันเรือและลูกเรือบรรทุกน้ำมัน พร้อมของกลางน้ำมันดีเซลร่วม 1.2 ล้านลิตรบรรทุกเกือบเต็มระวาง เผยตำรวจ บก.รน.จับกุมได้ขณะเรือกำลังแล่นเข้ามาในร่องน้ำเจ้าพระยา ตรวจสอบพบเป็นน้ำมันที่ส่งขายต่างประเทศ ได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิต แต่ตีย้อนกลับมาขายในประเทศ เชื่อนายทุนที่อยู่เบื้องหลัง “ไม่เล็ก” อยู่ระหว่างสอบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้กระทำผิดและยึดทรัพย์สินตามกฎหมาย
ตำรวจน้ำจับขบวนการน้ำมันเถื่อนรายนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 15 ต.ค. กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) อ.เมืองสมุทรปราการ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ว่าที่ ร.ต.ยงยุทธ ภูมิประเทศ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบป้องกันและปราบปราม กรมสรรพสามิต ร่วมกันแถลงจับกุมการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาจำหน่ายภายในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ได้ผู้ต้องหา 9 คน คือนายนิมิตร์ เพชรรัตน์ กัปตันเรือ และลูกเรืออีก 8 คน พร้อมของกลางเป็นน้ำมันดีเซล 1.2 ล้านลิตร บรรจุอยู่ในเรือบรรทุกน้ำมันชื่อ MIT A1
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลให้ทำการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาจำหน่ายภายในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ภายใต้การอำนวยการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สมควร พึ่งทรัพย์ ผบก.รน. ทำการสืบสวนจับกุมกลุ่มขบวนการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย กระทั่งเวลา 09.00 น. วันที่ 14 ต.ค. เจ้าหน้าที่ บก.รน. รับแจ้งจากสายลับว่ามีการลักลอบขนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลผิดกฎหมายเข้ามาเพื่อจำหน่ายในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน นำเรือตรวจการณ์ออกลาดตระเวนจนถึงบริเวณปากร่องน้ำเจ้าพระยา พบเรือบรรทุกน้ำมันชื่อ MIT A1 กำลังแล่นเข้ามาในร่องน้ำเจ้าพระยา ตรวจสอบพบของเหลวคล้ายน้ำมัน ดีเซลบรรทุกเกือบเต็มระวางเรือประมาณ 1.2 ล้านลิตร แต่นายนิมิตร์ไม่สามารถนำเอกสารการได้มาของน้ำมัน รวมทั้งเอกสารสำคัญอื่นๆ มาแสดงเจ้าหน้าที่ตำรวจได้
...
ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า จากนั้นตำรวจได้ควบคุมเรือเข้ามาจอดบริเวณปากคลองสรรพสามิต ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ประสานเจ้าหน้าที่ศุลกากร และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ร่วมทำการตรวจสอบโดยเก็บตัวอย่างของเหลวคล้ายน้ำมันดีเซลที่บรรทุกในระวางเรือตรวจสอบหาสารมาร์คเกอร์ พบว่าเป็นน้ำมันดีเซลและพบค่าสารมาร์คเกอร์ มีความเข้มข้น 31 ซึ่งใช้สำหรับเติมน้ำมันส่งออกไปต่างประเทศ และได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต เมื่อนำส่งออกไปแล้วจะไม่สามารถนำกลับเข้ามาในราชอาณาจักรได้อีก หากนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร ถือเป็นการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 242 มีโทษจำคุกไม่เกิน สิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้น ข้อหามีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่ไม่เสียภาษี เพื่อจำหน่าย หรือจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต ซึ่งความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ถือเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า จากการสอบสวนเชื่อว่าน้ำมันที่พบเป็นน้ำมันสำหรับส่งออกและตีย้อนกลับมา คนนำมาจำหน่ายให้ “ไม่เล็ก” สำหรับราคาต้นทุนอยู่ ประมาณลิตรละ 15-16 บาท อยู่ระหว่างการตรวจสอบปริมาณน้ำมันที่แน่นอน รายละเอียดนั้นอยู่ในชั้นสอบสวนไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งทางกัปตันเรือให้การเป็นประโยชน์ ทั้งนี้เร่งดำเนินการขยายผลหาตัวผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดและทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดต่อไป