หนุ่มรับจ้างถูกสรรพากรปราจีนฯ เรียกเก็บภาษีย้อนหลังเฉียด 850 ล้าน หอบหลักฐานร้องความเป็นธรรม พร้อมแจ้งความเอาผิดคนแอบอ้างนำเอกสารไปใช้ ยัน ไม่เคยเป็นนอมินี

จากกรณีที่ นายไพบูลย์ ศรีทอง อายุ 43 ปี บ้านเลขที่ 40 หมู่ 1 ต.บ้านหอย อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ร้องเรียนเรื่องได้รับหนังสือจากสรรพากรพื้นที่ปราจีนบุรี เรื่องเตือนให้นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระ 3 ครั้ง ครั้งแรก 29 ล้านบาท ครั้งที่สอง จำนวน 335 ล้านบาท และครั้งที่สาม 483 ล้านบาท (ยังไม่รวมเงินเพิ่มตามกฎหมาย) รวมแล้วยอดกว่า 848 ล้านบาท และยังถูกทางสรรพากรดำเนินคดีอาญาด้วยนั้น

ล่าสุดวันนี้ (15 ม.ค. 62) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปติดตามความคืบหน้าที่สำนักงานพื้นที่ปราจีนบุรี อีกครั้ง เพื่อติดตามคดีการเรียกเก็บภาษีค้างชำระจาก นายไพบูลย์ ที่มีชื่อและสกุลเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท มาแทนเฟอร์นิเจอร์ จำกัด ซึ่งได้รับคำตอบว่า ทางสรรพากรพื้นที่ปราจีนบุรี ได้คำนวณภาษีที่เกิดจากรายได้ของบริษัทตามเอกสารหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งหากไม่สามารถเรียกเก็บภาษีจากบริษัทได้ก็จะดำเนินการฟ้องล้มละลายต่อไป

ขณะเดียวกัน นายไพบูลย์ พร้อมด้วยภรรยา ได้เดินทางไปที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.ต.นราเดช กลมทุกสิ่ง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี, สภ.เมืองปราจีนบุรี และ สภ.ประจันตคาม ที่มีชื่อของตนถูกดำเนินคดีทั้ง 2 พื้นที่ โดยใช้เวลานานประมาณ 1 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ

พล.ต.ต.นราเดช ให้สัมภาษณ์ว่า นายไพบูลย์ ร้องเรียนว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเสียภาษีของบริษัทนี้แต่อย่างใด ไม่ได้หลีกเลี่ยงภาษี และปฏิเสธว่าไม่ได้รับรู้ตั้งแต่แรก เมื่อมีการมาร้องทุกข์ก็ต้องมีการตรวจสอบตามเอกสารเบื้องต้นก่อน ส่วนข้อเท็จจริงจะสืบค้นต่อไปว่า นายไพบูลย์ เกี่ยวข้องกับบริษัทนี้หรือไม่ ใครเป็นผู้ดำเนินการ ใช้นายไพบูลย์เป็นหุ่นเชิดหรือไม่ โดยเบื้องต้นแนะนำว่าเมื่อมีคนแอบอ้างนำบัตรประชาชนหรือสำเนาบัตรต่างๆ ไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานกับหน่วยงานของรัฐ คนที่เอาไปโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมต้องมีความผิด จึงให้ไปดำเนินการแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่รับจดทะเบียนไว้เบื้องต้น

...

ต่อมา นายไพบูลย์ เดินทางไปที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.สุรเดช มูลอ้าย พนักงานสอบสวน โดยมี พ.ต.อ.ประสาน แก้วมหาสุริวงษ์ ผกก.สภ.เมืองปราจีนบุรี ร่วมรับคำร้อง พร้อมนำหลักฐานเอกสารของบริษัท มาแทนเฟอร์นิเจอร์ จำกัด ที่ตนเองถูกนำเอกสารทางราชการไปจดแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งหลักฐานดังกล่าวที่นำไปใช้ตนไม่มีส่วนรู้เห็น จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายไพบูลย์ กล่าวในช่วงท้ายว่า “อยากให้มีการช่วยเหลือทางคดี เพราะผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ในคดีนี้ อยากขอความเป็นธรรม ถ้าผมมีส่วนมีเอี่ยว ผมจะไม่มาร้องเรียน นี่ผมไม่รู้จริงๆ ถ้าผมมีผลประโยชน์กับเขา ชีวิตผมคงจะสุขสบายกว่านี้ คงไม่ต้องอยู่อย่างนี้ ก็อย่างที่เห็นบ้านผมก็อยู่สภาพนั้น ถ้าผมมีเอี่ยวกับเขาผมจะไม่เสียใจเลย บ้านก็ขายนามาทำ เจ้าของบริษัทผมก็รู้ตั้งแต่เริ่มต้นเพราะทำงานอยู่ที่นั่นมาก่อน แต่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการดำเนินการธุรกรรมทางการเงิน และรับเหมาใดๆ ทั้งสิ้น และไม่เคยเป็นนอมินี”.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง