“ชมพู่เมืองเพชร” หรือ “เพชรสายรุ้ง” นอกจากจะขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติหวานกรอบ รูปทรงสวยงาม...ยังถือเป็นชมพู่พันธุ์อมตะ ที่มีการปลูกมา 152 ปี แต่กลับไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องราคาตกต่ำ ไม่เหมือนสินค้าเกษตรอย่างอื่น
สาเหตุมาจากอะไร...น่าจะเป็นบทเรียนให้คนในภาครัฐได้ขบคิด ตีโจทย์ให้แตก
“แม้ชมพู่เพชรจะขึ้นชื่อเรื่องราคาแพง กก.ละ 200 บาทขึ้นไป ไม่ใช่ไม่เคยเจอปัญหาราคาตกต่ำมาก่อน เราเจอมาแล้ว 2 หน ครั้งแรกราวปี 34-35 หลังจากราคาชมพู่ดี มีคนกรุงเทพฯมาซื้อที่ดินริมแม่น้ำเพชรปลูกชมพู่นับพันต้น
เมื่อผลผลิตออกมามากราคาก็ตก เจ้าของสวนอยู่ได้แค่ 6-7 ปี ทนแบกค่าใช้จ่ายดูแลรักษาไม่ไหว ม้วนเสื่อกลับไป”

ธนไชย อ่ำจั่น ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรสวนชมพู่เพชรสายรุ้ง และแปรรูปผลไม้ ต.บ้านดุ่ม เจ้าของชมพู่เพชรอายุกว่า 100 ปี 1 ใน 2 ต้นสุดท้าย เท้าความถึงปัญหาของชาวสวนชมพู่เมืองเพชรในยุคแรก...หลังเศรษฐีจากกรุงเทพฯมาทำสวนเพิ่มปริมาณผลผลิต จนทำให้ราคาตกวูบอย่างแรง ชาวสวนส่วนหนึ่งโค่นต้นชมพู่ทิ้ง หันไปทำอย่างอื่น ทำให้เหลือคนปลูกจริงๆไม่มาก...เมื่อผลผลิตน้อยราคาก็กลับมาดีอีกครั้ง
...
แต่ไม่นานวัฏจักรเดิมกลับมาอีกครั้ง พอราคาชมพู่กระเตื้องขึ้น คนที่มีสวนหันมาขยายพันธุ์กันเอง ปลูกเพิ่ม จนผลผลิตเพิ่มขึ้นมาก ชาวบ้านต้องหันไปพึ่งพาพ่อค้าคนกลางมาช่วยรับซื้อนำสินค้าไปขาย...สุดท้ายถูกกดราคา


“ปี 2552 เราจึงรวมตัวกันตั้งวิสาหกิจชุมชน กำหนดยุทธศาสตร์ ปลูกเอง กำหนดราคาเองขายเอง จากนั้นแต่ละคนเริ่มที่กำหนดราคาหน้าสวนตั้งแต่ 150 บาทขึ้นไป ใครมีที่ทางขายก็นำไปขายเอง บ้างก็เปิดร้านเล็กๆริมถนน ขายคนรู้จัก และขายในงานที่หน่วยงานภาครัฐเอกชนจัดขึ้น
แต่มีเงื่อนไขเพื่อให้ได้รสชาติใกล้เคียงกัน ให้ใส่ได้แต่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์เท่านั้น เพราะดินแถบนี้เป็นดินร่วนปนทรายมีตะกอนธรรมชาติให้ความหวานชมพู่อยู่แล้ว หากไปเพิ่มปุ๋ยเคมีลงไป จะทำให้รสชาติหวานไม่ธรรมชาติ กินแล้วไม่ชุ่มคอ ปากแห้ง หิวน้ำบ่อย”
พิศนุพร ภุมร หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม ผู้จุดประกายให้ชมพู่เพชรสายรุ้งเข้ามาอยู่ในกระแสอีกครั้ง อธิบายเสริม... ในอดีตชาวสวนชมพู่เพชรค่อนข้างหวงพันธุ์ แบ่งให้เฉพาะสนิทกันจริง แต่พอราคาดีขึ้น ต่างคนต่างเริ่มขยายพันธุ์และปลูกมากขึ้น จนของล้น

ตลาด พ่อค้า คนกลางเข้ามาอีกครั้ง ครั้นจะขายเองก็เกรงใจพ่อค้า เพราะไปยืมเงินเขามาใช้จ่ายในสวนก่อน เนื่องจากชมพู่เพชรที่ปลูกรวมกันกว่า 100 ไร่ มีต้นทุนสูง ต้องเสียค่าทำนั่งร้านเพื่อเก็บชมพู่ไม่ต่ำกว่าต้นละ 8,000 บาท และยังต้องเสริมนั่งร้านให้แข็งแรงทุกปี

...
“แต่หลังตั้งกลุ่มขึ้นมา เกษตรกรส่วนใหญ่เริ่มขายเอง เพราะได้ราคาดีเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่า อย่างผมขายชมพู่ตกเกรดได้แค่เข่งละไม่กี่สิบบาท เก็บมาใส่ถุงขายเอง ได้ถุงละ 20 บาท ปรากฏว่าขายหมดไม่มีเหลือ จึงเปิดร้านเล็กๆขายหน้าบ้าน ส่วนลูกที่มีคุณภาพดีเอาไปขายเองที่กรุงเทพฯ ได้ราคาดี กก.ละ 180-250 บาท”.

กรวัฒน์ วีนิล