ภัยสุขภาพคนไทยทั้ง “ฝุ่น PM2.5”...“ไข้หวัดใหญ่” อีกทั้งยังมีการแพร่ระบาดของไวรัส “โควิด­–19” รวมไป ถึงไวรัสต่างๆเยอะแยะไปหมด ถามว่าจะทำตัวอย่างไรให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อรับมือ

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ แนะนำว่า ทุกวันนี้ผู้ป่วยที่มาตรวจ...บอกยากว่ามีอาการมาจากอะไรต้องตรวจอย่างละเอียด เช่น คนไข้บางคนก็เป็นภูมิแพ้ตัวเอง

“การดูแลตัวเองในช่วงเวลานี้ ควรหลีกเลี่ยงดังต่อไปนี้ อันดับหนึ่ง...ถ้าสูบบุหรี่แนะนำให้หยุด...เลิกได้ก็เลิก ใครไม่สูบก็อย่าไปอยู่ใกล้คนสูบ ไม่รับควันบุหรี่มือสอง”

แล้วก็อย่าไปอยู่ใกล้กับเตาไฟที่ใช้ฟืนหุงต้ม ควันท่อไอเสียรถยนต์ ควันธูป เผากระดาษเงินกระดาษทอง เผาขยะ...อย่าเข้าไปใกล้ เลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยง

ปัจจัยพวกนี้ทำให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในฝุ่น PM 2.5 อย่างเดียวเท่านั้น ก๊าซต่างๆที่อันตรายก็มีเยอะแยะไปหมด...

ต้องเลี่ยงให้ห่าง ถ้าตัวเราแข็งแรงดีเห็นคนอื่นไอก็ต้องใส่หน้ากากป้องกันตัวเองไม่รับเชื้อเพิ่ม เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์
นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์

...

ข้อแนะนำอย่างอื่น ถ้าเป็นไปได้ก็ควรฉีดวัคซีนให้ครบ ไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง วัคซีนโควิดกลุ่มผู้สูงอายุ...กลุ่มเสี่ยงก็ควรที่จะฉีดปีละ 1 เข็ม

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการไปสถานที่แปลกๆ...อาจมีเชื้อรา รับเข้าร่างกายทำให้เราป่วยได้ หรือที่เขารดน้ำต้นไม้ ขุดดินให้อยู่ห่างๆ ทั้งฝุ่นที่อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน โดยเฉพาะผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง

อีกเรื่องสุดท้ายที่ต้องระวังก็คือ “ยา” บางตัวที่มีผลเสียต่อปอดด้วยเช่นกัน ต้องอ่านฉลากยาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างกลุ่มยาหัวใจ ยาปฏิชีวนะ ก็ทำให้มีผลเสียได้...

ความเป็นจริง “ปอด” เป็นอวัยวะที่ดูแลตัวเองได้ มีทั้งระบบของขนที่อยู่ในหลอดลม โบกพัดเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมที่ลงไปให้เลื่อนขึ้นมาเข้าไปในคอ กลืนลงกระเพาะ หรือมีเชื้อโรคแปลกปลอมเข้ามาก็มีเม็ดเลือดขาวจัดการ...แล้วก็มีเมือกคอยจับฝุ่นต่างๆที่เข้ามา

เรียกว่าร่างกายมนุษย์มีระบบซ่อมแซมตัวเองได้อยู่พอสมควรแล้ว แต่ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่ทำได้เลี่ยงได้ก็ถือเป็นส่วนเสริม

ฝุ่นเล็กๆ...ฝุ่นจิ๋วพิษ “PM 2.5” เล็กมากจนเข้าไปในถุงลม กระแสเลือดได้ เราก็ต้องระมัดระวังตัว ฝุ่นเยอะก็ต้องเลี่ยง อยู่ในบ้านฝุ่นเยอะก็ใช้เครื่องฟอกอากาศ หรือร่างกายแข็งแรงดีก็ออกกำลังกายบ้าง

“ระวังตัวแต่ไม่ต้องกลัว...กังวล เพราะถ้าเรากลัว นั่งอุดอู้ไม่ทำอะไรเลย ปอดเราก็จะแย่เหมือนกัน เราต้องดูแลตัวเอง แต่ก็อย่าไปวิตกเรื่องฝุ่น PM 2.5 มากจนเกินไป”

เอาว่า “ฝุ่น PM 2.5” ค่ามาตรฐานของแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน 75 บ้าง 70 บ้าง 65 บ้าง 37.5 บ้าง แล้วองค์การอนามัยโลกตั้งไว้ 15 ถ้าดูตัวเลขแล้วน่าสนใจว่าจะมีประเทศไหนในโลกจะทำได้อย่างนั้น

คาดว่า...99 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกต้องเคยสูดหายใจเอาฝุ่นค่าเกินมาตรฐานข้างต้นที่ตั้งไว้แน่ๆ หมอมองว่าตัวเลขที่ตั้งไว้ไม่ได้ยืนยันว่าเกินมาตรฐานจะเป็นอันตราย เราไปคิดเอาเอง...ว่าเกินจะอันตราย

นพ.มนูญ ย้ำว่า เทียบกับการสูบบุหรี่ 1 มวน เท่ากับหายใจฝุ่น 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถ้าสูบ 20 มวน ก็ 440 เราตั้งค่ามาตรฐานไว้ 37.5 เกินเยอะไหม...เยอะแน่นอน แล้วคนที่สูบบุหรี่วันละซอง สูบปุ๊บก็ใช่ว่าจะป่วยทันที ต้องสะสม...ต้องใช้เวลา 20 ปีขึ้นไป

ฉะนั้นที่บอกว่ารับฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 เกินมาตรฐานแล้วจะอันตราย อาจเป็นข้อมูลที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกมากเกินไป ...การสื่อสารเผยแพร่ให้ข้อมูลแต่ความกลัวไม่ได้สร้าง ไม่ได้ช่วยในการลดหรือ...แก้ปัญหาการเกิดฝุ่น PM 2.5 ที่ต้นเหตุก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งกลัวมากก็ยิ่งทำให้เครียด วิตกกังวล

“เอาแค่รู้ว่าค่าฝุ่นสูงไปก็ไม่ได้อันตราย...ให้ระวัง แต่ไม่ถึงกับต้องเสียชีวิต อายุสั้นลง ยิ่งที่บอกว่าตายก่อนวัยอันควรปีละ 5 หมื่นคน...ผมว่าไม่เป็นความจริง”

...

ดร.นพกร จงวิศาล อดีตอาจารย์ภาควิชาอาชีวอนามัย คณะสาธารณสุข ศาสตร์ ม.มหิดล เรียนปริญญาเอก Industrial Hygine and Toxicology มา เสริมว่า เราอยู่กับสิ่งแวดล้อมเป็นธรรมชาติของมนุษย์มานานแล้ว การทำให้ตื่นกลัวจะทำให้ธุรกิจขายหน้ากาก เครื่องกรองอากาศ เครื่องมือวัด...เป็นกระแสมากขึ้น

“ผมพูดเรื่องนี้มาสองปีแล้ว ถึงวันนี้ก็ยังคงเดิม ควรเติมเต็มความรู้แต่อย่าตระหนกมากไป...เรื่องดินฟ้าอากาศเราทำอะไรไม่ได้ แต่แหล่งกำเนิดที่ควบคุมได้ต้องทำ เช่น รถยนต์ดีเซล การเผา โรงงานอุตสาหกรรม”

ฝุ่นขนาด 2.5 ไม่ได้ทำอันตรายต่อร่างกายดังที่แชร์กันทั่วสังคมไทย ยกเว้นคนโรคทางเดินหายใจ เด็กเล็กๆ และผู้ชรามาก...การตระหนกจนเกินเหตุทำให้ประเทศไทยเสียหายเกินเหตุ ต้องลงทุนการแก้ปัญหาเกินควร เช่น แทนที่จะมากวดขันจับรถควันดำ...บริเวณก่อสร้างผู้รับเหมาไม่รดน้ำพื้นถนน ไม่ใช่สั่งปิดโรงเรียน ปิดเรียน

พลิกข้อมูลย้อนหลังไปยาวๆสัก 70 ปีที่แล้ว “คนไทย” มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 50 ปี แต่ปัจจุบันคนไทยผู้ชายมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 73 ปี ผู้หญิงอยู่ที่ 80 ปี...มากขึ้นนะครับ สะท้อนให้เห็นอีกเรื่องก็คือวันนี้สังคมไทยเป็น “สังคมผู้สูงอายุ”...คนไทยอายุยืนขึ้นๆ ค้านกับสิ่งที่สะท้อนว่า... “ถ้าฝุ่นเยอะคนไทยจะอายุสั้นลงๆ”

“ฝุ่นไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมี แต่มีมานานแล้วเพียงแต่เรามีเครื่องมือวัดกว่า 10 ปีต้นๆมานี่เอง ทั้งภูเขาไฟระเบิด ไฟป่า พายุทะเลทราย เหล่านี้ล้วนทำให้เกิดฝุ่นทั้งนั้น ธรรมชาติมีมานานแล้วแต่ไม่มีเครื่องมือวัด”

...

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ บอกอีกว่า ภาวะสุขภาพที่เสียหาย ไปโทษ “ฝุ่น PM 2.5” ทุกๆอย่าง เป็นต้นปัญหา...ทำให้เกิดโรคต่างๆมากมาย ผมว่ามากเกินไป

สมัยหมออยู่อเมริกาค่าฝุ่นดีกว่าประเทศไทยมากเพราะไม่มีการเผา แต่คนอเมริกันก็มีทุกโรค หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด ติดเชื้อในปอด...มีมาก

แล้วที่บอกว่า “ฝุ่น PM 2.5” ทำให้ประเทศไทยสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ 2.26 ล้านๆบาท คิดเป็นจีดีพี 13.37% ...ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ขณะที่ตอนมีโควิดระบาดรุนแรงสามปีที่แล้วจีดีพีเราลดไม่ถึง 7% เลย

สะท้อนความจริงมองอย่างเป็นธรรม สารพัดปัญหา “ฝุ่น PM 2.5” ในมิติต่างๆทำให้คนไทยวิตกกังวลเกินไปหรือเปล่า?...“เราไม่ต้องไปกลัว เราต้องอยู่กับมัน ปัญหาฝุ่นไม่ใช่เพิ่งมี แต่มีมานานแล้ว”

ระวังตัว ดำเนินชีวิตปกติไม่ต้องกลัว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ส่วนอาหารการกินก็สำคัญ กินผักผลไม้ ทานให้ครบ 5 หมู่...ไม่เน้นอะไรเป็นพิเศษ

หลีกเลี่ยงน้ำมันทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่เอาน้ำมันมะพร้าวมากลั้วปากเพื่อดูแลสุขภาพ คุณหมอแนะนำว่าไม่ควรทำเพราะไม่ดี ถ้าน้ำมันเล็ดรอดลงปอด จะทำให้ปอดอักเสบได้

“น้ำมันเบากว่าน้ำ ต้องระวัง ถ้าไหลเลื่อนลงหลอดลม ลงปอด...น้ำมันจะออกไม่ได้ ต้องหลีกเลี่ยงการทานโดยตรง...กินเปล่าๆ ให้ใช้ประกอบอาหารตามปกติ ส่วนแอลกอฮอล์ กัญชา บุหรี่ไฟฟ้าก็ควรเลี่ยง”

ฝากประชาชนทั่วไป ให้ตระหนักได้ แต่อย่าตระหนกมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่อง “ฝุ่น PM 2.5”...“โควิด–19” เราต้องอยู่กับมัน ผมไม่เชื่อว่าทำให้เราอายุสั้นลงโดยเฉพาะฝุ่นจิ๋วพิษ.

...

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม