ผมมีหนังสืออนุสรณ์ เสาวรส ทองปาน 2480–2454 คุณศรัณย์ ทองปาน ฝากมาให้นานแล้ว ใกล้มือ
ไล่เรียงอ่านเนื้อหาในเล่ม ไปจนถึงแบบหัดอ่านเบื้องต้น โดย พระยาผดุงวิทยาเสริม พิมพ์ครั้งที่เก้า ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2481นี่คือแบบเรียน ที่เด็กรุ่นแม่ผมเรียน...บทที่ 46 คนหาฟืนได้ขวานทองคำ
เรื่องเดียวกัน สำนวนใหม่ สั้นกว่านี้ ในแบบเรียนเร็วใหม่ หลวงดรุณกิจวิทูรย์ นายฉันท์ ขำวิไล เขียน เด็กรุ่นผมเรียน ผมเห็นสำนวนแปลกกว่า จึงตั้งใจคัดลอกสำนวนดั้งเดิม ให้อ่านกันทุกตัวอักษร
ตาอ่อนเป็นคนจน บ้านอยู่ใกล้ป่า ไปป่าหาฟืนมาเสมอ แกได้เงินค่าฟืนนี้มาเลี้ยงตัว
วันหนึ่งแกถือขวานของแก เข้าไปฟันไม้ในป่า ซึ่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ เมื่อแกกำลังฟันอยู่นั้น ขวานของแกกระเด็นลงไปเสียในแม่น้ำ แกลงดำน้ำหาอยู่เป็นนาน ก็ไม่ได้
จึงนั่งร้องไห้อยู่บนฝั่งแม่น้ำ
เทวดาซึ่งสิงอยู่ในแม่น้ำ ได้ยินเสียงตาอ่อนร้องไห้ดังนั้น ก็แปลงเป็นคนเข้าไปหาตาอ่อนและว่า “ทำไม แกจึงร้องไห้?” ตาอ่อนจึงว่า “ขวานของฉันกระเด็นลงน้ำ ไปหาไม่ได้ จึงนั่งร้องไห้อยู่ เพราะฉันไม่มีขวานจะฟันฟืนต่อไป”
เทวดาจึงว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะดำเอาขวานนั้นขึ้นมาให้”
ว่าพลางก็โจนลงน้ำ เอาขวานทองคำขึ้นมา ส่งให้ตาอ่อนและว่า “นี่แน่ ขวานของแก”
ตาอ่อนมองดูขวาน เห็นว่า ไม่ใช่ขวานของตัว จึงว่า “ไม่ใช่ ขวานนี้ ไม่ใช่ขวานของฉัน” เทวดาก็วางขวานนั้นไว้ ลงดำน้ำเอาขวานเงินขึ้นมาส่งให้ตาอ่อน
ตาอ่อนก็ว่าไม่ใช่ของแก เทวดาก็ดำน้ำลงไป และครั้งนี้เทวดาถือเอาขวานของตาอ่อนขึ้นมา
พอตาอ่อนเห็นขวานของแก แกก็ดีใจ จึงว่าขึ้นทันทีว่า “นี่แหละ ขวานของฉัน ขอให้ฉันเถอะ”
...
เทวดาจึงเอาขวานให้ตาอ่อน ทั้งขวานทองคำขวานเงินก็ให้ตาอ่อนไป เพราะเห็นว่าตาอ่อนเป็นคนซื่อตรง ไม่มุสา พอตาอ่อนไปถึงบ้าน จึงเอาเรื่องที่แกได้ขวานทองคำ และขวานเงินนั้นไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง
ตาเหมือนบ้านอยู่ใกล้ๆตาอ่อน เมื่อได้รู้เรื่องเช่นนั้น ก็ถือขวานไปฟันต้นไม้บนฝั่งแม่น้ำนั้น พอฟันได้สี่ห้าทีแกก็แกล้งทำให้ขวานกระเด็นลงไปในน้ำ และนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น
เทวดาก็มาหาตาเหมือน ตาเหมือนก็อ้อนวอนขอให้ช่วยดำขวานให้แก เทวดาดำเอาขวานทองคำขึ้นมาและว่าแก่ตาเหมือนว่า “นี่ขวานของแกใช่หรือไม่?”
ตาเหมือนก็ว่า “ขวานนี้แหละ เป็นขวานของฉัน”
เทวดาจึงว่า “เจ้าเป็นคนไม่ซื่อตรง ขวานนี้ไม่ใช่ของเจ้า เจ้าว่าไม่จริง”
ว่าพลางเทวดาก็โยนขวานทองคำนั้นลงไปในแม่น้ำ เทวดาก็ไปเสีย
ตาเหมือนก็ไม่ได้ขวานทองคำ ทั้งซ้ำยังต้องเสียขวานของตัว
นิทานเรื่องนี้จบลง ตรงมีคำสอนว่า วาจาจริงเป็นสิ่งพึงสงวน...ครับ
เป็นอันว่า ผมได้อ่านนิทานเรื่องเดียวกันจากรุ่นแม่ รุ่นตัวเอง ถามรุ่นลูกได้ความว่าก็เคยอ่าน ประเมินจากเด็กรุ่นใหม่ รุ่นหลานรุ่นที่ครูเขาบอกว่าเด็กเป็นศูนย์กลาง ซึ่งก็เห็นๆกัน สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมาก
เพื่อให้ทันโลก ทันการเปลี่ยนแปลง...ถ้าให้ผมเขียนนิทานเรื่องนี้ใหม่...ผมก็คงต้องขอเปลี่ยนแก่นเรื่อง ให้เทวดา โยนขวานทองคำลงน้ำ แล้วด่าตาอ่อนว่า “หน้าโง่” เพราะได้ขวานทองคำแล้วไม่เอา
บ้านเมืองที่ทันสมัยศิวิไลซ์ ขนาดนักการเมืองที่เดิมเคยเชื่อว่า เหนือตำรวจ เหนือทหาร เหนือเจ้าพ่อ เหนือมาเฟีย ยังเผลอถูกข่มขู่รีดไถได้ง่ายๆ
ถ้าครูยังขืนสอนให้เด็กซื่อตาใสอยู่อย่างนี้...จะมีชีวิตอยู่ในโลกพาลาได้ต่อไปอย่างไรเล่า?
กิเลน ประลองเชิง