นับว่าเป็นต้นแบบสำคัญในวงการสื่อ “ประกิต หลิมสกุล หรือกิเลน ประลองเชิง คอลัมนิสต์ชักธงรบ หน้า 3 นสพ.ไทยรัฐ” ผู้ซึ่งอุทิศชีวิตกับงานข่าวเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น และสังคมมานานกว่า 53 ปี “เจ้าของรางวัลศรีบูรพาประจำปี 2565” อันเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนจนทุกวันนี้
กระทั่งไม่นานมานี้ “สภามหาวิทยาลัยรังสิต” ได้ประกาศมอบปริญญา ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ให้ “ประกิต หลิมสกุล” ในฐานะสื่อมวลชนผู้ยืนหยัดความเป็นกลาง และความเป็นธรรมนี้ที่ ผศ.ดร.สมเกียรติ รุ่งเรืองวิริยะ ผช.อธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร ม.รังสิต ชี้แจงให้ฟังว่า
สำหรับประวัติ “ประกิต หลิมสกุล” เกิดวันที่ 5 ธ.ค.2488 ที่ จ.สมุทรสงคราม จบการศึกษานิเทศศาสตรบัณฑิต ม.สุโขทัยธรรมาธิราช และในระหว่างบรรพชาก็ได้ร่ำเรียนปริยัติธรรมจบชั้นนักธรรมเอก
ก่อนมาเริ่มต้น “ชีวิตทำงานจากลูกเรือ และนายท้ายเรือ” แต่ด้วยประสบการณ์เขียนคอลัมน์จิปาถะเลยผันตัวมาเป็นนักข่าวภูธร นสพ.เดลินิวส์ แล้วย้ายมา นสพ.ไทยรัฐ หัวหน้าสกู๊ปข่าวหน้า 1 และเขียนคอลัมน์ “ชักธงรบ” ด้วยนามปากกา “กิเลน ประลองเชิง” เขียนสัปดาห์ละ 6 วันต่อเนื่องมา 25 ปี

...
สร้างผลงาน “บทความมาแล้วเกือบ 1 หมื่นชิ้น” ที่ใช้หลักธงธรรม ให้ความรู้ ข้อคิด ชี้นำสังคม วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเป็นกลาง “ถูกคือถูกผิดคือผิด” อ่านสถานการณ์ด้วยความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ลึกซึ้งมา 53 ปี บนชีวิตคนข่าวเดินทางไปทุกสมรภูมิข่าวจากเหนือจดใต้ จากตะวันออกจดตะวันตกพบปะผู้คนมากมาย
คุณสมบัติสำคัญ “รักการอ่าน” จึงเสมือนหนึ่งนักปราชญ์ผู้ช่ำชองการใช้ศาสตร์ และศิลป์ถ่ายทอดความคิดได้คมคาย ลึกซึ้ง สะท้อนถึงศักยภาพการคิด เขียน และการใช้ภาษา เชื่อมโยงเหตุการณ์จากประวัติศาสตร์กับเหตุการณ์ปัจจุบัน ทำให้การวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ สามารถกระตุกต่อมคิดผู้อ่านได้อย่างแยบยล
โดยมีหลักคิดคือ “ความจริงกับความเป็นมนุษย์” มีจุดยืนเคียงข้างคนทุกข์ยาก “หน้าที่สื่อมวลชนต้องช่วยเหลือผู้คน” มีผลงานเป็นที่ยอมรับหลายด้าน อาทิ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของมนุษย์ การขับเคลื่อนประชาธิปไตย ทั้งรับรางวัลนักข่าว และนักเขียน รางวัลข่าวภาพยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าวฯ และรางวัลศรีบูรพา 2565
เหตุนี้ “ประกิต หลิมสกุล หรือกิเลน ประลองเชิง” ถือเป็นนักคิด นักเขียนที่เป็นแบบอย่างการใช้ชีวิตที่ดีงาม สมถะ เป็นต้นแบบของสื่อมวลชนผู้ยืนหยัดความเป็นกลาง และถือธงแห่งธรรมในการสร้างสรรค์ผลงาน ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ที่เดินตามรอยในวิชาชีพสื่อมวลชน เพื่อทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแก่ประชาชน

“สกู๊ปหน้า 1” มีโอกาสพูดคุยกับ ประกิต หลิมสกุล ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังว่า สมัยวัยหนุ่มอายุ 25 ปี ทำงานนายท้ายเรืออวนลากจับปลาขายที่ตลาดมหาชัย ก่อนพาเรือพุ่งชนกลางโป๊ะเสียหายต้องขายพระเอาเงินไปใช้หนี้ “เสียใจจนขึ้นจากทะเล” พเนจรออกสมัครงานด้วยวุฒิชั้น ป.5 (เทียบเท่า ม.1) แต่ไม่มีบริษัทใดรับทำงาน
หลังจากนั้นพี่ชายชวนไปอยู่ จ.ยะลาได้ไปนั่งกินกาแฟร้านโก๋ชุ้น เจ้าของชื่อ “สมศักดิ์ สุวพิชญ์ภูมิ นักข่าวภูมิภาคไทยรัฐ” ด้วยอุปนิสัยชอบอ่าน เขียนหนังสือ และแต่งกลอน เลยถูกชักชวนให้มาทำข่าวเดลินิวส์ ประจำยะลาในปี 2513 ส่งข่าวชิ้นแรกคือ “หัวหน้าโจรภาคใต้นำลูกน้องมอบตัว” ลงหน้า 1 พาดหัวข่าวยักษ์หลายวัน
สมัยนั้นจำได้ว่า “ทำข่าว 3 เดือนได้ 300 บาท/เดือน” ทำให้ต้องเรียนหนังสือต่อโรงเรียนผู้ใหญ่จบระดับ 3 เริ่มส่งข่าวน้อยลงจู่ๆ “ถวิล มนัสน้อม” เข้ามาปลอบใจเพิ่มเงินเป็น 400 บาท/เดือน แต่ยังมองไม่เห็นอนาคต
กระทั่งปี 2518 “เงินเดือนน้อยไม่พอใช้” ตัดสินใจนั่งรถไฟมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตั้งใจไปขอเพิ่มค่าข่าวเป็น 700 บาท/เดือน เมื่อถึงหน้าเดลินิวส์เจอ “พี่ชนา อินทรักษ์” บอกว่า “ประกิตมาก็ดีแล้วไม่ต้องกลับ” แต่เพียง 2 วันเกิดน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ 14 จังหวัดจมบาดาลถนนสายหลัก และทางรถไฟถูกตัดขาดตั้งแต่ จ.สุราษฎร์ธานี
รีบคว้ากล้องซื้อจากโรงจำนำ 600 บาท นั่งรถไฟไปทันทีเมื่อถึง จ.สุราษฎร์ธานี ก็นั่งเรือไป ต.นาหลวงเสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ที่ถูกน้ำท่วมหายทั้งหมู่บ้านจนได้ข่าวใหญ่ “ครอบครัวจมน้ำตาย 5 คนทิ้งไว้แต่เด็ก 4 เดือน” แต่การสื่อสารถูกตัดขาดต้องนั่งเรือมาที่ อ.ทุ่งสง เพื่อส่งข่าวแบบฉบับย่อโทรเลขจ่ายเงินไป 600 บาท
...

ส่วนฟิล์มภาพต้องนั่งรถโดยสารจาก อ.ทุ่งสง ไป อ.ห้วยยอด จ.ตรัง มุ่งหน้าสนามบินหาดใหญ่เดินทาง 2 วัน เพื่อส่งฟิล์มขึ้นเครื่องบินเข้า กทม. กลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่มีชื่อ “ประกิต หลิมสกุล รายงานทุกชิ้น” มีผลงานจนผู้ใหญ่ให้นั่งเป็นรีไรต์ เขียนคอลัมน์รายสัปดาห์ละ 4-5 ชิ้น ทำภาพชุดหน้ากลาง อีก 3 วันออกทำข่าวปกติ
สิ่งนี้ย้อนให้คิดถึงตอนอยู่ จ.ยะลา ดำรงสถานะยากลำบาก ขาดแคลนเงิน เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกลายเป็นบทเรียนฝึกฝนให้แกร่ง สอนให้สู้ และเมื่อมาเป็นนักข่าวในกรุงเทพฯ สามารถทำงานด้วยหัวใจ ไม่รู้จักเสาร์อาทิตย์ ไม่รู้ว่ากลางวันกลางคืน บางครั้งเอารถออกไปทำข่าวแล้วไม่มีเงินต้องจำนำแหวน จำนำนาฬิกาเป็นค่ารถก็มี
ทำให้ปีนั้นได้รับรางวัลภาพยอดเยี่ยมจากมูลนิธิอิสรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวฯ “ข่าวจลาจลสนามกีฬาเชียงใหม่” โดยรับจากมือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และเงิน 1 หมื่นบาท แต่ว่ามียอดเยี่ยม 2 รางวัลต้องหาร 2
ต่อมาปี 2522 โรจน์ งามแม้น ชัย ราชวัตร และประกิต ลาออก ด้วยความที่ “โกวิท สีตลายัน” รู้ว่าลาออกจากเดลินิวส์ก็เรียกให้ไปอยู่ด้วยที่ “นสพ.ไทยรัฐ” ตำแหน่งนักข่าวพิเศษ และรีไรต์ ในปี 2531 ก็เขียนคอลัมน์ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” เขียนสังคมหน้า 4 นามปากกา “เหยี่ยวพญา” และเป็นเลขาฯ หน.กอง บก.สราวุธ วัชรพล
...
หลัง หน.ข่าวภูมิภาคไทยรัฐถูกยิงตายได้ลาออกไปอยู่ นสพ.หลายฉบับ และกลับมาเป็น “หน.สกู๊ปข่าวหน้า 1” จากนั้นพี่โกวิทเจ้าของนามปากกา “มังกร ห้าเล็บ” ป่วยหนัก ด้วยความที่ “สราวุธ” วางตัวให้เขียน “คอลัมน์สวัสดีเวลาเช้าของมังกร ห้าเล็บ” คราวนั้นบอกไปว่า “ชาตินี้ทั้งชาติก็เขียนหนังสือเทียบพี่โกวิทไม่ได้”

ในใจลึกๆแล้วมีความกตัญญูด้วย “พี่โกวิทพาเข้ามาไทยรัฐ” ทำให้ขอเขียนแทน 3 เดือนถ้าพี่โกวิทหายดีก็คืนคอลัมน์ให้ตามเดิม สุดท้าย “พี่โกวิท เสียชีวิต” ทำให้คอลัมน์เปลี่ยนชื่อแล้ว “กิเลน ประลองเชิง” ก็รับหน้าที่ ทำคอลัมน์ “ชักธงรบ” กลวิธีเขียนเอาเหตุการณ์ และเหตุผลมาเล่าแบบนี้ “ไม่ใช่สไตล์กิเลน ประลองเชิง”
แต่ต้องนำเรื่องเล่า และเรื่องราวในหนังสือมาเขียนเชิงอุปมากับเหตุการณ์บ้านเมือง เรื่องแรกในวันที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยคดีเนวิน ชิดชอบไม่มีความผิดในคดีหมิ่นประมาท (คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 36/2542) ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันเลยหยิบ “ศรีธนญชัย” เป็นเสภาศรีธนญชัย เชียงเมี่ยงมาเขียนทำนองเสียดสี
...
โดยใช้ชื่อเรื่อง “วิชาศรีธนญชัย” พอเขียนออกไปคำนี้หลายคนนำไปใช้เช่น “อานันท์ ปันยารชุน” แม้แต่สื่อหลายค่ายก็นำไปใช้กันจน “สราวุธ หน.กอง บก.ไทยรัฐ” ผู้ปั้นขึ้นมาพูดชมเป็นการส่วนตัวว่า “คุณแน่มาก” สิ่งนี้ได้มาจากยะลาผ่านประสบการณ์ความแกร่ง “กลายเป็นเหล็กเพชร” ในปี 2565 ก็ได้รางวัลศรีบูรพาคนที่ 31
ทว่าปัจจุบัน “รูปแบบข่าวเปลี่ยนไป” เน้นจับประเด็นเก่ง นำเนื้อหามาเขียนได้ก็เลิศแล้ว ต่างจากสมัยก่อนเนื้อข่าวมีศิลปะการเขียนทั้งเสาวรจนีย์ นารีปราโมทย์ พิโรธวาทัง สัลลาปังคพิสัย ทำให้คนพูดถึง สื่อสิ่งพิมพ์จะหมดไปเร็วๆนี้หรือไม่...? เรื่องนี้ขอยก “สำนักพิมพ์แสงดาว คุณจรัญ หอมเทียนทอง” ที่ยังส่งหนังสือให้ปีละ 100 เล่ม
สิ่งนี้ยืนยันตลาดยังเข้มแข็งไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ “ชุดสามเกลอ” พล นิกร กิมหงวนชุดแรกๆปี 2483 พิมพ์ใหม่มา 10 ครั้งจนวันนี้ยังมีคนอ่านและขอยกคำ “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” บอกว่าหนังสือกระดาษจะไม่ตายไปจากโลกเพียงแต่ “หนังสือย้ายไปในตู้ของเศรษฐี” แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ยังอยู่แต่ต้องปรับให้ตรงใจตลาดแข่งขันกับสื่อโซเชียลฯ
นี่คือชีวิตนักหนังสือพิมพ์ที่ชื่อ “ประกิต หลิมสกุล” เจ้าของนามปากกา “กิเลน ประลองเชิง” ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจนมีประสบการณ์เข้มข้นสามารถเรียนรู้ และกลั่นกรองประสบการณ์เหล่านั้นเป็นงานเขียน เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น และสังคมได้อย่างงดงามมาจนถึงทุกวันนี้
ทั้งหมดนี้เป็นผลงานที่ประจักษ์ทำให้ “ม.รังสิต” ยกย่องในฐานะสื่อมวลชนผู้ชักธงรบ ถือธงธรรม สร้างสรรค์สังคมธรรมาธิปไตย มอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ ในพิธีประสาทปริญญามหาวิทยาลัยรังสิตประจำปี 2566 ในวันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคมนี้.