“บิ๊กปั๊ด” ตั้งโต๊ะแถลงสยบศึกบิ๊กสีกากีพันคดีจับยาไอซ์ 1.5 ตัน ชี้ให้ฟังอย่างมีวิจารณญาณเอกสารมีเป็นร้อยแต่หลุดออกไปถึงสื่อเพียงแผ่นเดียว กลายเป็นเรื่องทำลายความเชื่อมั่นขององค์กร ยันไม่พบมีนายตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะที่ภาค 6 แจงยิบทุกขั้นตอน ระบุคดีนี้จับกุมตัวการใหญ่ พร้อมอายัดบัญชีและเงินสดกว่า 200 ล้านบาท ส่วนข้าราชการที่เกี่ยวข้องที่ผู้ต้องหาพาดพิงอีก 4 คน เป็นแค่ข้อมูลสืบสวน เป็นคำกล่าวอ้าง ชุดสืบสวนพยายามหาหลักฐานแต่ยังไม่พบแต่ยังไม่ยุติ
จากศึกสีกากีระหว่าง พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. กรณีสื่อโซเชียลเผยแพร่เอกสารลงวันที่ 10 ก.พ.64 ที่ พล.ต.อ.สุชาติ ลงนามในบันทึกข้อความด่วนที่สุดถึง พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.ภ.6 ให้รายงานชี้แจง กรณีวันที่ 1 และ 18 ธ.ค.63 ที่เร่งรัดคดีจับกุมนายสมโชค เนียมสกุล และนายสกล การุณรักษ์ ขับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ขนยาไอซ์ 1,500 กก. เมื่อวันที่ 18 ต.ค.62 โดยพยานให้การถึงผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด 8 คน ในจำนวนนี้มี 3 คน เป็นนายทหารและนายตำรวจ มีรายชื่อตำรวจ 2 นายคือ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. และ พ.ต.อ.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ รอง ผบก.อก.บช.ภ.6 โดยให้ ภ.6 เสนอรายชื่อให้ ตร. ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน แต่ ภ.6 ไม่เสนอรายชื่อดังกล่าว ขณะที่ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ได้มอบตัวแทนไปแจ้งความที่กองปราบปราม เมื่อวันที่ 17 ก.พ. เพื่อดำเนินคดีเพจข่าว “สนับสนุนปฏิรูปตำรวจ” ในความผิดฐานหมิ่น ประมาทด้วยการโฆษณา หลังเผยแพร่ข่าวและภาพพร้อมข้อความอันเป็นเท็จ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความขัดแย้งครั้งนี้ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
ล่าสุด ผบ.ตร.ตั้งโต๊ะแถลงข่าวสยบศึกบิ๊กสีกากี โดยเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 5 มี.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส. พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ รองผบช.ภ.6 พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.บก.สส.บช.ภ.6 และ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาฯ ป.ป.ส.ร่วมแถลง ผลการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ บช.ภ.6
...
พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคดียาเสพติดสำคัญ ที่เกิดในพื้นที่ บช.ภ.6 อีกทั้งมีเอกสารราชการบางส่วนหลุดออกไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชน ขอเรียนว่าเอกสารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนสอบสวน หากจะเทียบกับเอกสารการทำงานของเจ้าหน้าที่ถือเป็นจำนวนน้อย แต่กลายเป็นว่ามีข้อเท็จจริงบางส่วนที่หลุดออกไป แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นข้อเท็จจริงทั้งหมด เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งประเด็นสงสัยว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ โปร่งใสหรือมีการช่วยเหลือใครเป็นพิเศษหรือไม่
ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า สิ่งเหล่านี้เป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม จึงต้องทำความจริงให้ปรากฏ เพราะถ้าไม่ทำประชาชนไม่ศรัทธา ไม่เชื่อถือในสิ่งที่ทำลงไปจะทำให้เกิดปัญหา ทำให้ไม่มีการยึดกฎกติกากัน เป็นเรื่องที่สำคัญที่ตระหนักในปัญหานี้ จะพยายามมาเล่าเท่าที่ทำได้ในส่วนที่ไม่กระเทือนต่อการสอบสวนดำเนินคดี เพราะคดีมีทั้งที่ศาลตัดสิน และมีทั้งที่ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม จะให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอธิบายในประเด็นที่ทุกท่านสงสัย จะตอบเท่าที่เปิดเผยได้
พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชรพงศ์ รอง ผบช.ภ.6 กล่าวว่า ในส่วนคดีจับกุมยาไอซ์ 1.5 ตัน ในพื้นที่ บช.ภ.6 เมื่อวันที่ 18 ต.ค.62 เริ่มจากการตรวจพบรถยนต์และรถบรรทุกที่มีช่องดัดแปลงพิเศษ จากนั้น บก.ภ.จ.ตากขยายผลจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม โดยทำงานร่วมกับ บช.ภ.6 และป.ป.ส.ภาค 6 จนออกหมายจับผู้ต้องหาอีกหลายคน จากการรับสารภาพของผู้ต้องหาบางส่วนได้ซัดทอดถึงบุคคลอื่น เกี่ยวข้องกับคดีสมคบ สนับสนุน มีการสั่งฟ้องผู้ต้องหาบางส่วน
ขณะที่ พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.ภ.6 กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีนี้ให้มองใน 5 ห้วงเวลา คือ ห้วงเวลาที่ 1 เกี่ยวกับนายฐปนันท์ ธรรมรัตน์ธาดา ตั้งแต่ปี 57 จากนั้นเป็นห้วงเวลาตรวจค้นยาไอซ์ 1.5 ตัน ในปี 62 ลำดับต่อมาขยายผลจับกุมในคดีสมคบอู่ที่ต่อรถบรรทุกใช้ขนยาไอซ์ ในปี 63 ลำดับต่อมาในปี 63 เป็นการได้ตัวนายเกิดชนะ มีนา ซึ่งถูกออกหมายจับ ลำดับต่อมาจากคำให้การของนายเกิดชนะ สามารถจับ น.ส.หลินซาร์ในปีเดียวกัน คดีนี้เบื้องต้นจับกุมได้ 8 คน มีการออกหมายจับนาย
เกิดชนะ มีนา และนายยง วงศ์สว่างกุล และตามจับกุมได้ในประเทศเมียนมา ส่วนการสอบปากคำ มีคำพูดของนายเกิดชนะพาดพิงถึงพลเรือน 4 คน ข้าราชการ 4 คน ได้นำข้อมูลทั้งหมดไว้ในสำนวน และนำมาใช้ในการสืบสวน พบข้อเท็จจริงบางอย่างบ่งชี้ได้ว่ามีหลักฐานดำเนินคดี น.ส.หลินซาร์ และนายฐปนันท์ ตัวการใหญ่ที่ตั้งคดีไว้ตั้งแต่ปี 57 เลยตั้งคดีใหม่เป็นคดี สภ.แม่สอด คดีที่ 1810/2563 กระทั่งออกหมายจับและจับ น.ส.หลินซาร์ พร้อมอายัดบัญชีและเงินสดกว่า 200 ล้านบาท ขณะนี้ทำถึงขั้นตอนนี้
พ.ต.อ.สราวุธกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีตำรวจหญิงชื่อทักษินันท์ บัวคำ และตำรวจอีก 2 ท่าน ในถังข้อมูลดำเนินการเยอะถึงเยอะมาก แต่เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ว่าทำอะไรไปบ้าง ในชั้นนี้ยังไม่มีหลักฐานที่นำไปสู่การขออนุมัติในคดีสมคบฯต่อเลขา ปปส. เป็นข้อมูลในการสืบสวนได้เท่านั้น ส่วนกรณีมีนายตำรวจข้ามไปยังเมียวดี คอมเพล็กซ์ เป็นเพียงคำซัดทอดของผู้ต้องหาว่าไปอยู่ที่นั่น ไปเจอ ไปตกลง ไปพูดคุย แต่ตำรวจต้องหาหลักฐาน และพยายามหาแต่ไม่พบจริงๆ แต่การสืบสวนยังไม่จบ ยังต้องทำต่อไป และทำมากกว่าที่มีการกล่าวอ้าง
ช่วงท้ายการแถลงข่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า เอกสารที่หลุดไปคือชิ้นเดียว อยากให้ลองอ่านดูที่กล่าวถึง พล.ต.ท.ท่านหนึ่ง เขียนว่าอย่างไร เขาถามว่ารูปที่พนักงานสอบสวนให้ดูท่านเคยเห็นหรือไม่ เขาบอกว่าเคยเห็นมาที่เมียวดี คอมเพล็กซ์ แต่ไม่ได้พูดต่อว่ามาทำอะไร มาหาใคร เจอใคร อะไรยังไงไม่มีเลย การที่จะฟังอะไรต้องชั่งน้ำหนัก ต้องทำไปตามข้อเท็จจริงที่พูดถึง ขณะนี้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องยังดำเนินการ กรณี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ดำเนินการอะไรไปบ้าง ก็มาเล่าให้ฟัง ถ้าจะเจออะไรมันก็ต้องเจอ อะไรที่ควรทำก็ทำไปแล้ว
ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า แต่ถ้าถามว่ามันจะยุติแค่นี้หรือไม่ บอกได้เลยว่าไม่ใช่ หากเจอหลักฐานถึงใครเราก็ทำไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น เพียงแต่ยังไม่ชนกับใครโดยเฉพาะคนที่ถูกพาดพิง ถ้ามีพยานหลักฐานเอกสารยังรั่วมาได้ ถ้าเป็นความจริงมันจะไม่รั่วเหรอ ถ้ามีมันต้องออกสื่อแล้ว ปัญหามันมีหรือเปล่า เราไม่เคยคิดว่าคนนี้พิเศษกว่าคนนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่อะไรที่มันไม่ชัดเจน มันถูกหยิบไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ถูกหยิบไปบ่อนทำลายความเชื่อถือ สิ่งที่อันตรายคือเรื่องนี้ เรื่องการบ่อนทำลาย ทำลายองค์กรไม่ได้ ทำลายคนก็ได้ อยากให้ฟังเรื่องนี้ โดยใช้วิจารณญาณ เพราะโลกสมัยนี้การสื่อสารมันไปเร็ว ข้อเท็จจริงบางส่วนหลุดออกมา แต่ไม่ได้หลุดทั้งหมด แล้วท่านเห็นทั้งหมด หรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหน่วยงานเดียว การดำเนินคดีสมคบฯ ต้องขออนุมัติเลขาฯ ปปส.ไม่ใช่ อยู่ดีๆเราทำเองได้ ยังมีชั้นอัยการอีก มีศาล และมีสื่อที่คอยตรวจสอบพวกเรา ถ้าใครที่เกี่ยวเราไม่เคยละเว้น
...
พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวต่อว่า การฟังคนคนเดียวพูดและพูดครั้งเดียวว่าเคยเห็นคนนี้ แล้วไง เห็นแล้วเขาไปทำอะไร รับเงินใคร คุยกับใคร ยังไง ที่ไหน เมื่อไหร่ ตัวเองไปร่วมกระทำผิดขนยา 3 ครั้ง จำได้หมดทั้งวันเวลา สถานที่ แต่เรื่องนี้ทำไมจำไม่ได้ ถ้าข้อมูลยิ่งเบลอ ไม่ชัดเจน คนที่เสียหายคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะถูกหยิบไปเป็นประเด็นบ่อนทำลายความเชื่อถือ ให้พูดกันตรงๆแบบชาวบ้าน อย่างกรณีรองต๊ะ คนทำบ่อนบอกรู้จัก มันก็ต้องรู้จัก แต่จะรู้จักกันแบบไหน เห็นให้เงินให้ทองกันอย่างไร แต่เมื่อพาดพิงถึงต้องตรวจสอบ จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ไม่ทำ เรื่องนี้จะถูกนำไปพูดอีก 500 ปี เพราะมันไม่ชัดเจน ดังนั้นต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เกิดความชัดเจนให้ได้
พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวก่อนจบการแถลงเรื่องนี้อีกด้วยว่า ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องความขัดแย้ง เพราะเราอยู่บนพื้นฐานที่เราทำงานร่วมกัน แต่ใครจะหยิบเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์แบบไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่คิดว่าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความขัดแย้ง เพราะถึงวันนี้ก็ยังคุยกันทุกคน ทุกคนที่ร่วมกันสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ก็คุยกันอยู่ เท่าที่เห็นทุกคนคุยกันดี มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอด เพราะต้องการทำเรื่องนี้ให้มีความชัดเจน ทุกคนต้องการรู้ข้อเท็จจริง มีใครไม่อยากรู้บางว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ตำรวจก็เหมือนกันก็อยากรู้ ต้องพยายามทำให้มันเกิดความชัดเจน