“อนุทิน” จัดให้ ลดวันกักตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน อ้างกรมควบคุมโรคยืนยันอยู่ในช่วงที่มีความปลอดภัยและมั่นใจประสิทธิภาพการคัดกรองการเฝ้าระวังเหลือแต่รอขอมติ ศบค.เห็นชอบ ด้าน “หมอประสิทธิ์” เผยสถานการณ์โควิดทั่วโลกระบาดพุ่งเฉลี่ย 2 วัน 1 ล้านคน เตือนไทยอย่าชะล่าใจชายแดนเมียนมาและมาเลย์ รวมถึงการชุมนุมที่ตะโกนไม่สวมหน้ากาก พร้อมติงลดวันกักตัวรับนักท่องเที่ยวต้องคุมเข้ม อย่าโลกสวย ขณะที่วัคซีนคาดไม่เร็วกว่ากลางปีหน้าถึงจะเห็นผล

ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั่วโลกยังรุนแรง จนหลายชาติต้องกลับมาล็อกดาวน์ประเทศ แต่ไทยพร้อมคลายมาตรการเฝ้าระวังด้วยการลดวันกักตัวชาวต่างชาติที่จะเข้ามาในประเทศ โดยเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่โรงแรมสแปลช บีช รีสอร์ท จ.ภูเก็ต นาย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังไม่มีการหารือถึงการลดวันกักตัวเหลือ 10 วัน เพราะจะต้องนำเข้าที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ก่อน โดยกรมควบคุมโรคยืนยันว่า 10 วัน อยู่ในช่วงที่มีความปลอดภัย เพราะความเข้าใจต่อโรคมีมากขึ้น ประสิทธิภาพการคัดกรองการเฝ้าระวัง ความพร้อมต่างๆมีมากขึ้น เขามาเสนอ ซึ่งตนเห็นด้วย ส่วนการเปิดสนามบินภูเก็ตรับนักท่องเที่ยว นายกฯ บอกว่า ถ้าจะเปิดต้องเปิดให้หมดทั่วประเทศ คงจะพิจารณาโดยเร็วที่สุด ถ้านายกฯตัดสินใจจะเปิดกรมควบคุมโรคยืนยันว่ามีความพร้อม

...

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวถึงนโยบายลดระยะเวลากักตัวของผู้เดินทางมาจากต่างประเทศจาก 14 วัน เหลือ 10 วันว่ากำลังเสนอ ศบค.พิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในประเทศสำคัญที่สุด จะเริ่มจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหรือเท่ากับไทย เนื่องจากมีโอกาสที่จะนำเชื้อเข้าสู่ประเทศน้อยมาก มีการตรวจหาเชื้อก่อนออกจากประเทศต้นทาง ขณะนี้แม้ว่าจะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาบ้างแล้วแต่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่จากกลุ่มนี้ โดยกระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเข้มข้น ทั้งระบบกักกัน ตรวจหาเชื้อเป็นระยะตามมาตรฐาน เพื่อคัดกรองให้พบผู้ที่อาจติดเชื้อโดยเร็วที่สุด รวมถึงมีระบบติดตามขณะที่อยู่ในประเทศ ที่สำคัญนักท่องเที่ยวทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ได้แก่ สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เว้นระยะห่างตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และสร้างความมั่นใจให้กับคนในพื้นที่

วันเดียวกัน ที่ ม.มหิดล ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงการระบาดโควิด-19 ทั่วโลกว่า สถานการณ์ทั่วโลกขณะนี้แย่ลงทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรป พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มอย่างรวดเร็วเฉลี่ย 2 วัน 1 ล้านคน หลายประเทศผู้ป่วยเกินจำนวนเตียงในโรงพยาบาลที่จะรองรับ จนต้องประกาศล็อกดาวน์หลายพื้นที่ ปัจจัยที่เกิดการแพร่ระบาดมากส่วนหนึ่งมาจากเข้าฤดูหนาว ทำให้คนส่วนใหญ่อยู่ในอาคาร ไม่มีการสวมหน้ากากอนามัย ส่วนในเอเชีย ประเทศที่ควบคุมได้ดีมี เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อัตราป่วยค่อนข้างต่ำ ที่น่าห่วง คือเพื่อนบ้านที่ติดกับไทย ทั้งมาเลเซียและเมียนมา โดยมาเลเซีย พบผู้ป่วยใหม่เพิ่ม 800-900 คนต่อวัน เช่นเดียวกับเมียนมามีผู้ป่วยสะสมถึง 50,000 คน อัตราการตายเฉลี่ยต่อวันเป็นตัวเลข 2 หลักต่อเนื่อง แล้วหากมีการลักลอบเข้าเมืองมาโดยไม่มีการติดตามจะเป็นปัจจัยเสี่ยงให้ไทยเกิดการระบาดรอบ 2

ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมี 3 เรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง อย่าชะล่าใจ คือ 1.ชายแดนเมียนมาและมาเลเซีย 2.อากาศเย็น ที่ทำให้คนเข้าอยู่ในอาคารและไม่สวมหน้ากากอนามัย และ 3.การชุมนุมไม่ว่ากลุ่มใด เนื่องจากมีการตะโกนและไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดทั้งสิ้น สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยลดวันกักตัวจาก 14 วันเป็น 10 วันนั้น ขอให้รัฐบาลพิจารณารอบคอบ มีมาตรการเข้มงวด ไม่มีข้อยกเว้น แต่หากพบผู้ป่วยเกินตัวเลข 2 หลักเช่นวันนี้มี 20 คน เพิ่มเป็น 30 และ 40 คน ต้องหยุดรับทันที และกลับมาใช้มาตรการกักตัว 14 วันเช่นเดิมไม่เช่นนั้นหากเพิ่มเป็นหลักร้อยจะเกินกว่าที่สถานพยาบาลรับได้ อย่ามองโลกสวยเพียงหวังรายได้ต่างชาติเข้ามา หากแพร่ระบาดจนต้องล็อกดาวน์จะเกิดการสูญเสียรายได้ที่ไม่คุ้มค่า

ส่วนความคืบหน้าวัคซีนนั้น ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า มี 11 บริษัทที่เข้าสู่การทดลองในคนไม่ต่ำกว่า 30,000 คน ทั้งสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อินเดีย และบริษัทร่วมผลิตระหว่างเยอรมนี สหรัฐฯ และจีน กระนั้น คาดว่าวัคซีนที่จะสำเร็จคงได้ไม่เร็วกว่ากลางปีหน้า ดังนั้น วัคซีนที่ดีสุดคือการดูแลตัวเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ การเช็กอินเช็กเอาต์ และเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชน

...

ทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงาน ณ วันที่ 3 พ.ย.ไทยพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 10 คน เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าในสถานที่กักกันของรัฐ แบ่งเป็นคนไทย 5 คน มาจากบาห์เรน ซาอุดีอาระเบีย สาธารณรัฐเช็ก ประเทศละ 1 คน และเยอรมนี 2 กับชาวต่างชาติ 5 คน ได้แก่ ชาวอาเซอร์ไบจาน รัสเซีย บังกลาเทศ ฝรั่งเศส และอิสราเอล (เคยมีประวัติติดเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 8 ต.ค.63) ทำให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,797 คน เสียชีวิต 59 คนเท่าเดิม

สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศ พบยอดผู้ติดเชื้อในวันเดียวทั่วโลก 472,985 คน ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อรวมเพิ่มเป็น 47.4 ล้านคน เสียชีวิตรวมกว่า 1.21 ล้านคน โดยที่สหรัฐอเมริกา พบติดเชื้อในวันเดียว 93,300 คน ยอดติดเชื้อรวมขยับเป็น 9.65 ล้านคน เสียชีวิตรวมกว่า 237,000 คน ที่ฝรั่งเศส พบผู้ติดเชื้อวันเดียวทำสถิติ 52,518 คน ยอดติดเชื้อรวมอยู่ที่อันดับ 5 ของโลก 1.46 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 37,400 คน ขณะที่ รัฐบาลนิวซีแลนด์ ประกาศเตือนพลเมืองที่จะเดินทางกลับประเทศในช่วงคริสต์มาสว่าโรงแรมสำหรับกักตัวอาจมีไม่เพียงพอ ด้าน นายลอว์เรนติโน คอร์ติโซ ประธานาธิบดีปานามา ประกาศกักบริเวณตัวเอง หลังพบผู้ร่วมงานติดไวรัสมรณะนี้ ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็เรียกร้องให้ภูมิภาคอเมริกาและยุโรป เร่งสกัดกั้นเชื้อโดยด่วน