หลังจาก “เรือจุฬาภรณ์” เรือสำรวจประมงทะเลลึกของกรมประมง ได้ลอยลำไปสำรวจทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลในน่านน้ำสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต นานร่วม 61 วัน เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย นายวิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง เผยว่า สืบเนื่องจากรัฐบาลติมอร์-เลสเต ต้องการพัฒนาธุรกิจการประมง แต่ยังขาดความรู้ทางวิชาการด้านประมง รวมถึงไม่มีอุปกรณ์ และเครื่องมือในการสำรวจทะเลลึก จึงขอความร่วมมือมายังประเทศไทย โดยลงนามความร่วมมือ MOU แบบทวิภาคีต่อกัน

“ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมอบหมายให้กรมประมงส่งเรือจุฬาภรณ์ไปสำรวจในทะเลอาณาเขตจำเพาะของติมอร์-เลสเต และประเมินทรัพยากรสัตว์น้ำ เป็นการศึกษาองค์ประกอบชนิด ขนาด ความชุกชุม และการแพร่กระจายของสัตว์น้ำขนาดใหญ่ รวมถึงลูกสัตว์น้ำวัยอ่อน แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ โดยใช้เครื่องมือประมง ประเภทเบ็ดราวปลาผิวน้ำ เบ็ดราวหน้าดินแนวตั้ง ลอบปลา และอวนลากกลางน้ำ ผลสำรวจทรัพยากรสัตว์น้ำบริเวณผิวน้ำและกลางน้ำส่วนใหญ่เป็นปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาเขี้ยวกาง รองลงมา คือ ปลากระเบน ปลาสาก ปลาสีเงิน และปลาจะละเม็ดน้ำลึก สัตว์น้ำหน้าดิน ได้แก่ ปลากะพง ปลาฉลามหลังหนาม ปลาเก๋า ปลากด และหอยงวงช้าง”

...

นายวิชาญ เผยอีกว่า การสำรวจสัตว์น้ำวัยอ่อนและสัตว์น้ำขนาดเล็กที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงพบกลุ่มปลาไหล ปลาสีกุน หมึกกล้วยน้ำลึก หมึกแวมไพร์ และสัตว์แปลกๆอีกหลายชนิดที่ไม่เคยพบในบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทาง เศรษฐกิจ พบอยู่ในบริเวณ sahul banks ทางด้านทิศใต้ของติมอร์-เลสเต

และการสำรวจตลาดสัตว์น้ำ ยังพบว่า ชาวประมงติมอร์-เลสเต จับสัตว์น้ำที่มูลค่าสูงจำนวนมากมาวางขายในตลาด แต่ทว่ากลับไม่มีระบบห้องเย็น ไม่รู้จักวิธีจัดเก็บรักษาและการแปรรูปสัตว์น้ำปล่อยให้สัตว์น้ำเน่าเสียเพียงชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะปลาราคาแพงอย่างเต๋าเต้ย นับเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการประมงไทยที่จะไปแสวงหาแหล่งทำประมงใหม่และพิจารณาการลงทุนด้านอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมห้องเย็น โรงน้ำแข็ง และการแปรรูปสินค้าประมง.