ในทุกวันนี้ “คดีขับรถประมาท” เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับ “บาดเจ็บ” และ “เสียชีวิต”... เกิดขึ้นมากมายในสังคมไทย ที่ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา หากแต่มีเรื่อง “การละเมิด” หรือ “ค่าสินไหมทดแทน” เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่าย บางครั้งเรื่องนี้กลับกลายเป็นสิ่งถูกมองข้าม...

ในกรณี น.ส.แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ขับรถยนต์ชนรถตู้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ ในปี 2553 จนคดีมาชั้นฎีกา ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาให้ชดใช้ทั้งสิ้น 24 กว่าล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

กลายเป็นบทเรียน...ที่ต้องพูดถึง “การกระทำละเมิด” มากขึ้น ในความผิด “คดีทางแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา” ที่ “ไม่ใช่” เฉพาะเรื่อง “คดีอุบัติเหตุ” เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้เท่านั้น แต่ “คดีอาญา” ได้รับอันตราย ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือความเสียหายอื่น ที่เกิดจากการกระทำความผิดของจำเลย ก็เรียกร้องได้เช่นกัน

แนวทางถอดบทเรียนขั้นตอนการเรียกร้องสิทธิการกระทำละเมิดนี้ คมเพชญ จันปุ่ม หรือ “ทนายอ๊อด” ทนายความอิสระ ให้ข้อมูลว่า ใน “คดีอาญา” หรือ “คดีอุบัติเหตุ” มักมีผลกระทบได้รับอันตราย ชีวิต ร่างกาย จิตใจ ถือว่าเป็นความผิดละเมิด ตามในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

นั่นหมายความว่า “ผู้เสียหาย” มีสิทธิเรียกร้องทางแพ่งไปพร้อมกับคดีอาญา ที่เกิดจากการกระทำความผิด และบุคคลเป็นผู้เสียหาย คือ ผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งบิดา มารดา โดยชอบด้วยกฎหมาย ภรรยา บุตร หรือทายาทโดยธรรม สามารถยื่นคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีอาญาได้ด้วย

...

ที่เรียกกันว่า...คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา...วิธียื่นฟ้องคดี...ผู้เสียหายต้องมีทนายความ เป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ในการเรียกร้องส่วนคดีแพ่ง หากมีฐานะยากจน สามารถร้องขอต่อศาลพิจารณาการแต่งตั้งทนายความขอแรง อาจเป็นทนายความใหม่ แต่แต่งตั้งทนายนี้ได้หรือไม่นั้น...ต้องอยู่ที่ดุลพินิจศาล...

ในการพิจารณาความผิดทางอาญา พร้อมพิจารณาความเสียหายทางแพ่ง ที่ไม่ต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งใหม่ และไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมศาล ในอัตราร้อยละสองของทุนทรัพย์ที่ฟ้องคดี

หากโจทก์ร่วมไม่เป็นที่พอใจ...ในคำพิพากษา ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ในคดีนั้นได้ หรือว่าผู้เสียหายมีความประสงค์แยกยื่นฟ้องคดีในศาลแพ่ง ก็ทำได้เช่นกัน แต่จะตั้งทนายเป็นโจทก์ร่วมในศาลอาญา ในส่วนเรียกร้องทางแพ่ง และยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง พร้อมกันไม่ได้ และในคดีละเมิดนี้ มีอายุความ 1 ปี

“ต่างจากสมัยก่อนนี้...แยกฟ้องคดีต่อศาล ที่มีอำนาจการฟ้องคดีชันเจน ส่วนใหญ่ต้องรอการพิจารณาคดีอาญา ว่าจำเลยมีความผิดจริงหรือไม่มีโทษมากน้อยเพียงใด เมื่อมีความผิดจริง...จึงค่อยพิจารณาคดีแพ่ง หากไม่มีความผิดตามฟ้องคดีอาญา ก็ไม่มีการพิจารณาคดีแพ่งเช่นกัน...” ทนายอ๊อดว่า

เมื่อคดีถึงที่สุด...และศาลอ่านคำพิพากษา จำเลยมีความผิดจริง...ลงโทษทางอาญาแล้ว ในทางแพ่ง หากจำเลยมาศาลรับฟังคำพิพากษา ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา ในการชดใช้ความเสียหายให้กับโจทก์ทันที

ปัญหามีว่า...หากจำเลยหรือทนายจำเลย ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาของศาล ทำให้ศาลต้องอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย เช่น กรณี น.ส.แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ครั้งนั้นมีอายุ 17 ปี ที่ยังเป็นผู้เยาว์ ขับรถยนต์ฮอนด้าชนรถตู้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ

แม้ว่าผู้กระทำละเมิดเป็นผู้เยาว์ กฎหมายบอกว่า ผู้เยาว์ก็ต้องรับผิด และบิดามารดาของผู้เยาว์ก็ต้องรับผิดร่วมกับผู้เยาว์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.429...บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์ หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดา หรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว...และโจทก์ได้ฟ้องผู้ปกครองไปร่วมด้วย

ดังนั้น ผู้กระทำละเมิดเป็นผู้เยาว์ หากอยู่ในความปกครองใคร...บุคคลนั้นต้องร่วมรับผิด

แต่ว่า...จำเลยหรือทนายจำเลยไม่มาศาล ก็ต้องเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องให้จำเลยรับทราบ ในการปฏิบัติตามคำพิพากษา ด้วยวิธีนำคำบังคับให้จำเลยทราบ และปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยวิธีปิดหมายคำบังคับ และจำเลยต้องปฏิบัติภายใน 30 วัน นับจากวันปิดหมาย

ซึ่งทั่วไป...เมื่อครบกำหนดแล้ว...ไม่ปฏิบัติตามนั้น “โจทก์” ต้องนำคำพิพากษานั้นยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อยึด หรืออายัดทรัพย์สิน โดยที่โจทก์เป็นผู้สืบทรัพย์ของจำเลยว่า...

มีทรัพย์อะไรบ้าง จำนวนเท่าไร มีบัญชีเงินฝากอยู่ที่ใด...เมื่อทราบครบทั้งหมดแล้ว ให้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานกรมบังคับคดี ในการบังคับคดี เพื่อนำขายทอดตลาด นำเงินมาชดใช้ตามคำพิพากษาของศาลต่อไป

...

หนำซ้ำ...จำเลย...รู้ว่า...คดีมีมูลละเมิดความผิด และโยกย้ายทรัพย์สินให้บุคคลอื่น เพื่อไม่ต้องชดใช้หนี้ ในส่วนนี้อาจมีความผิดอาญา “ฐานความผิดโกงเจ้าหนี้” ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.350...

ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ หรือของผู้อื่น ได้รับชำระหนี้ ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่ขั้นนี้ต้องสืบเสาะทรัพย์ว่า โยกย้ายให้คนอื่นจริงหรือไม่... หากเป็นความจริง ก็นำฐานความผิดโกงเจ้าหนี้เป็นคดีใหม่ และยืนฟ้องต่อศาลอาญาเพื่อดำเนินคดี...

มองอีกมุมของข้อต่อสู้คดีละเมิด...หากจำเลย ไม่มีทรัพย์สินชำระหนี้ ที่มีผลให้โจทก์ กลายเป็นเจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาอยู่แล้ว สามารถนำ พ.ร.บ.ล้มลาย พ.ศ.2483 มาบังคับในการฟ้องเป็นคดีล้มละลายได้อีกทาง ตาม ม.9 เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลายได้ คือ 1.ลูกหนี้มีหนี้ล้นพ้นตัว 2.ลูกหนี้คนธรรมดา เป็นหนี้ของเจ้าหนี้หรือโจทย์คนเดียวหรือหลายคน ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท นิติบุคคล ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท...และ 3.หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว

และเข้าสู่ ม.14 ในพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องเจ้าหนี้นั้นศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9 หรือมาตรา 10 ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริง ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด...

เมื่อศาลมีคำพิพากษาล้มละลาย...บุคคลนั้นต้องมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ใน 30 วัน และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่สืบเสาะทรัพย์สิน ประวัติของลูกหนี้ ทำงานที่ใด มีเงินเดือนเท่าไร

ประเด็นมีว่า... “บุคคลล้มละลาย” ไม่มีสิทธิในการเป็น “ผู้จัดการมรดก” รวมถึงเสียสิทธิเข้ารับในตำแหน่งของข้าราชการทุกกรณี แม้ว่าอยู่ในตำแหน่งข้าราชการ ก็ต้องถูกให้ออก เพราะเป็นเรื่องบุคคลต้องห้าม...ขาดคุณสมบัติเข้ารับราชการ

...

หากมองอีกมุมว่า “ความผิดละเมิด” บางครั้งอาจอยู่ที่ตัวบุคคลเช่นกันว่า มีความสำนึกผิดของการกระทำนั้น และความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้นด้วยหรือไม่ เช่น สมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 56 ปี เจ้าของธุรกิจแห่งหนึ่ง ก่อเหตุเมาแล้วขับรถเบนซ์ชนรถเก๋งของนายตำรวจ เสียชีวิตพร้อมภรรยา

แม้มีความผิด...แต่เป็นที่น่ายกย่องถึง “ความสำนึกผิด” หรือ “ความรับผิดชอบ” มีการเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตเต็มที่ ที่ไม่ได้รอให้มีคำพิพากษา และมีการบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย...

กระบวนฟ้องร้องคดีกันนั้น...อยากให้เป็นขั้นตอนสุดท้าย เพราะมีทางออกให้เลือกอีกมากมายในการพูดคุยตกลงความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความสันติ...เข้าใจ...เห็นใจกัน ป้องกันการเกิดความบาดหมางในอนาคต

นี่คือผลการกระทำความผิด...“ผู้กระทำ” ย่อมมีหน้าที่ต้องรับโทษ ถ้ามีเรื่อง “ละเมิด” เกิดความเสียหายขึ้น...ก็ย่อมต้องชดใช้ ถือว่า...เป็นกฎสังคมตั้งกันมา...ไม่มีใครหนีความจริงพ้น.