อัยการตามบี้พวกเหนียวหนี้ไม่จ่ายค่าปรับให้ศาล เผยค่าปรับตามคำพิพากษา ค่าสินไหมทางแพ่ง กับค่าเสียหายผิดสัญญาประกันคดีในศาลท่วมมหาศาลทั่วประเทศต้องทยอยฟ้อง ในส่วนคดีแพ่งที่รัฐชนะคดี แต่ปิดบัญชีและแทงเป็นหนี้สูญหรือไม่เคยตั้งเรื่องบังคับคดียึดทรัพย์มาก่อน หากมีการร้องเรียนส่วนราชการต้องรับผิดชอบ แต่ทางแก้คือให้ส่วนราชการมาร้องให้อัยการไปบังคับคดีให้ “สำนักงานอัยการสูงสุด-กรมบังคับคดี-สำนักงาน ก.ล.ต.” จ่อทำเอ็มโอยูเรื่องดังกล่าว
อัยการตามไล่บี้จำเลยเบี้ยวเงินค่าปรับศาล เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยปัจจุบันพบว่า จำเลยที่ถูกศาลมีคำพิพากษาในคดีอาญาคดีถึงที่สุดแล้ว เช่น คดียาเสพติด ลักวิ่งชิงปล้น กรรโชกทรัพย์ คดีทำธุรกรรมทางการเงินโดยฉ้อฉล เมื่อศาลมีคำพิพากษาจำคุกและปรับแล้ว แต่ปรากฏว่าจำเลยกลับไม่จ่ายค่าปรับและไม่สามารถติดตามบังคับเอาทรัพย์ตกแก่แผ่นดินได้ หรือนายประกันนำหลักทรัพย์มาวางศาล เพื่อประกันตัวจำเลยแต่จำเลยหนี ส่วนหลักทรัพย์ที่มาวางแลกอิสรภาพกับยังบังคับคดีไม่ได้ และพวกคดีแพ่งที่ส่วนราชการของรัฐเป็นตัวความ ชนะคดีแล้วไม่มีการตั้งเรื่องบังคับคดียึดทรัพย์มาส่งมอบแก่รัฐ ปัจจุบันมีมากขึ้นทั่วประเทศ และกฎหมาย พ.ร.บ.อัยการ บังคับให้เป็นงานของสำนักงานอัยการสูงสุด ดังนั้น จึงมีการตั้งสำนักงานการบังคับคดี เพื่อติดตามตั้งเรื่องบังคับคดี ขอหมายบังคับ ขอออกคำบังคับ ออกสืบทรัพย์ โดยใช้อัยการเท่าที่มีอยู่เกลี่ยอัตรากำลังมาทำงานนี้แล้ว
นายโกศลวัฒน์กล่าวอีกว่า ในคดีแพ่งที่รัฐเป็นตัวความมักจะมีทุนทรัพย์พิพาทเป็นแสนล้านบาท เมื่อฝ่ายส่วนราชการชนะคดีแล้ว บางทีก็ปิดบัญชีและแทงเป็นหนี้สูญบ้างหรือไม่เคยตั้งเรื่องบังคับคดีมาก่อน ทำให้เกิดความเสียหายได้ เหล่านี้หากมีการร้องเรียนส่วนราชการต้องรับผิดชอบ แต่ทางแก้คือให้ส่วนราชการมาร้องให้อัยการไปบังคับคดีให้ มอบอำนาจให้อัยการทำ เช่นยึดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ยึดมาแล้ว 290 ล้านบาท คดีค่าปรับท้ายคำพิพากษาส่วนอาญาที่ติดตามยากยึดมาได้แล้ว 90 ล้านบาท ส่วนคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาที่ผู้เสียหายเรียกร้องเอาจากจำเลยและศาลมีคำพิพากษาให้ชนะคดี เดิมผู้เสียหายต้องไปเรียกร้องเองปัจจุบันอัยการรับทำให้ เพราะเมื่อช่วยแล้วต้องช่วยให้ถึงที่สุด
...
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดเผยต่อว่า การรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ตาม พ.ร.บ.อัยการ มาตรา 14 กําหนดให้พนักงานอัยการมีอํานาจและหน้าที่ดําเนินคดีแทนรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ราชการส่วนกลาง หรือราชการส่วนภูมิภาค และอื่นๆ ก่อนที่จะดําเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทําความผิดหรือจําเลยได้นั้น ต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สิน สืบหาทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวก่อน อาจอยู่ในรูปของเงินฝาก ยานพาหนะ ที่ดิน พันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้น เป็นต้น การขอตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนเป็นผู้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินดังกล่าว จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีตามกฎหมายโดยผ่านเจ้า– พนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม
“เพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สํานักงานอัยการสูงสุดร่วมกับกรมบังคับคดี และสํานักงาน ก.ล.ต. ในฐานะเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่กํากับดูแลการดําเนินกิจกรรมในตลาดทุนหรือตลาดหลักทรัพย์ ทั้ง 3 หน่วยงาน ร่วมกันจัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีกับผู้กระทําความผิดระหว่างสํานักงานอัยการสูงสุด กรมบังคับคดีและสํานักงาน ก.ล.ต. มีนายชาตรี สุวรรณิน อธิบดีอัยการ สํานักงานการบังคับคดี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี และนายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสํานักงาน ก.ล.ต. ร่วมลงนามในครั้งนี้ โดยการลงนาม MOU ในวันที่ 28 ธ.ค.นี้ หลักแนวคิดเรื่องนี้คือ เมื่ออัยการฟ้องคดีสืบพยานให้ประชาชนและหน่วยงานจนชนะคดีแล้ว อัยการก็ควรบังคับคดีเอาเงินมาให้ โดยทำให้ครบถ้วนจนสิ้นกระแสความ” นายโกศลวัฒน์กล่าว