วันนี้ไม่เพียงเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรจะต้องทนทุกข์กับราคาขายต่ำกว่าทุน และมีต้นทุนสูงจากมาตรการที่ผิดพลาด...ราคาในต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างจีน ยังกระหน่ำซ้ำเติม
ด้วยปี 2559 จีนประสบภาวะอากาศหนาวจัดและเกิดปัญหาโรคระบาด เกิดภาวะขาดแคลนต้องนำเข้าหมูจากเวียดนามและไทยไปทดแทน ...กลายเป็นแรงกระตุ้นให้คนเลี้ยงหมูทั้งสองประเทศเร่งขยายกำลังการผลิต ตั้งความหวังจีนคืออนาคต
แต่ทุกอย่างเป็นเพียงฝัน ปีที่แล้วจีนแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดสำเร็จ ฟื้นการผลิตให้พลิกกลับเป็นบวก แถมยังขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เลยกดดันราคาให้ตกต่ำไปทั่ว...เห็นได้จากราคาเฉลี่ยทั้งประเทศจีน สัปดาห์ก่อนเคยอยู่ที่ กก.ละ 57-58 บาท ลดลงเหลือ 55 บาทในสัปดาห์ที่แล้ว

เวียดนามก็เช่นกัน จากที่เคยอยู่ที่ 46 บาท เหลือ 44 บาท
ส่วนไทย ราคาสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ กก.ละ 43–52 บาท สัปดาห์ที่แล้วเหลือแค่ 42–50 บาท
ตกต่ำต่อเนื่องมากว่า 8 เดือน ไม่เพียงปัจจัยจากจีน...วัตถุดิบอาหารสัตว์สำคัญอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีราคาสูงขึ้นมาถึง 10.30-10.50 บาท ดันให้ต้นทุนเลี้ยงแพงขึ้น จาก กก.ละ 56 บาท เป็น 60 บาท
...

เรียกว่า เกษตรกรตกอยู่ในภาวะการขาดทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หากคำนวณภาวการณ์ขาดทุน จากราคาสุกรขุนตกต่ำที่สุด ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เกษตรกรต้องขาดทุนเฉลี่ยตัวละ 1,500–2,000 บาท...ประเมินเป็นตัวเลขความเสียหายทั้งระบบ 8,400–11,200 ล้านบาท
เสียหายขนาดนี้ แต่การช่วยเหลือจากภาครัฐแทบไม่ขยับเขยื้อนเหมือนช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มอื่น...15 ม.ค.61 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ หรือ Pig Board มีมติเห็นชอบมาตรการ ตามที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเสนอ...ให้เกษตรกรนำลูกหมูไปผลิตเป็นหมูหัน 100,000 ตัว, เพิ่มการปลดระวางแม่พันธุ์ 100,000 ตัว, นำหมูขุนมาชำแหละเก็บเข้าห้องเย็น 100,000 ตัว

ให้ผู้เลี้ยงหมูรายใหญ่ลดการผลิตลูกหมู 10% ด้วยการชะลอการผสมแม่พันธุ์หมู เป็นระยะเวลา 6 เดือน หรือ 1 รอบการผลิต นับจากเดือนมกราคมเป็นต้นมา คาดว่าจะช่วยลดปริมาณลูกหมูลงได้ 400,000 ตัว
และให้กรมปศุสัตว์จัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาสนับสนุนสหกรณ์ผู้เลี้ยงหมูและผู้เลี้ยงรายย่อยเพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากภาวะขาดทุน ให้กับเกษตรกร
แต่ดูเหมือนจะเป็นมาตรการทางทฤษฎี...ทางปฏิบัติหาได้เป็นจริงเป็นจังไม่
แม้จะขาดการเหลียวแลจากภาครัฐ แต่คนเลี้ยงหมูยังคงก้มหน้าทนและช่วยกันแก้ปัญหากันต่อไป...ไม่ว่าจำหน่ายเนื้อหมูราคาถูกพิเศษมาตั้งแต่ พ.ย.60 และยังคงมีอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการตัดวงจรลูกหมูทำเป็นหมูหัน ที่เริ่มมาตั้งแต่กลางเดือน ก.พ.โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่นำร่องไปก่อนแล้ว 3 หมื่นตัว และจะดำเนินการลดลูกหมูไปจนครบตามเป้า100,000 ตัว
แต่กระนั้นวันนี้เริ่มเห็นสัญญาณถอย วันใดไม่อาจทนแบกรับภาระขาดทุนได้ต่อไป...ต้องตัดใจทิ้งอาชีพ
เมื่อวันนั้นมาถึง...ผู้บริโภคคงหนีไม่พ้นชะตากรรมหมูแพง.
ชาติชาย ศิริพัฒน์