จากตอนที่แล้ว "ต่างด้าว ออฟ บางกอก EP.1 พลเมืองเถื่อน ตั้งแก๊งโยง ซ่อง พนัน ยานรก!?"
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากนักการเมืองจอมแฉ...นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ถึงพฤติกรรมของชาวต่างชาติ ที่เข้ามาอาศัยทำมาหากินในบ้านเรามากมายหลายรูปแบบ ซึ่งแรกเริ่มอาจจะมาในฐานะนักท่องเที่ยว แต่อยู่ไปอยู่มากลับกลายเป็น “พลเมืองเถื่อน” สาเหตุเพราะเราแยกแยะไม่ออกว่า “ใคร” คือ “นักท่องเที่ยว”
ในตอนนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้รับการเปิดเผยจาก หนุ่มใหญ่ชาวอินเดียรายหนึ่ง ซึ่งอยู่เมืองไทยมานานกว่า 10 ปี และได้แต่งงานกับหญิงไทยรายหนึ่ง แต่เขายืนยันว่าเขา “โสด...!?!”
...
นายหน้าจัดให้ตามคำขอ รอเวลาเปลี่ยนเป็นคนไทย
นายรามซิงค์ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี ชายชาวอินเดียเล่าว่า อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี เปิดเผยว่า ศูนย์กลางของชาวอินเดียในประเทศไทยคือพาหุรัด เพราะชาวอินเดียแทบจะทุกคนจะต้องมีเครือข่ายอยู่ที่นี่ เส้นทางการเข้ามาทำมาหากินเริ่มตั้งแต่เดินทางเข้าประเทศไทย ยื่นขอเปลี่ยนประเภทวีซ่า จนไปถึงการแต่งงานเพื่อขอสัญชาติ ทุกอย่างมีนายหน้าคอยบริการให้หมด
นายรามซิงค์ เล่าต่อว่า ได้เดินทางเข้าประเทศไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว เมื่อถึงประเทศไทย ก็จัดการเรื่องที่อยู่อาศัยและช่องทางทำมาหากิน โดยมีเพื่อนชาวอินเดียด้วยกันเป็นคนติดต่อผ่านนายหน้าให้ จากนั้นก็เป็นการขอเปลี่ยนประเภทของวีซ่าท่องเที่ยวเป็นวีซ่าธุรกิจ เพื่อยืดอายุการพำนักในประเทศไทยไปอีก ในระหว่างนี้ก็ทำงานเก็บเงิน เพื่อรอแต่งงานกับผู้หญิงไทย
“ผมแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีเมีย...!?!” แขกขายผ้าย่านพาหุรัดพูดพลางหัวเราะ...มันหมายความว่าเขาสามารถจ่ายเงิน เพื่อจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงไทยได้ โดยที่ไม่มีข้อผูกมัดทางใจ แต่เป็นการกระทำเพื่อจะได้ถือวีซ่าประเภทติดตามและเมื่อครบกำหนดก็จะได้สัญชาติไทยด้วย ซึ่งจะทำได้ต้องสมรสกับคนไทยเท่านั้น
ค่าใช้จ่าย 50,000 บาท มีสัญญา 5 ปี ข้อตกลงคือเมื่อได้รับสัญชาติไทยแล้วก็จะหย่าร้างกัน เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว ก็สามารถไปขอวีซ่าประเภทติดตาม ซึ่งต้องไปรับการต่ออายุทุกๆ 1 ปี ส่วนการต่ออายุ ก็จะไปที่ด่านชายแดน แต่บางครั้งก็บินกลับประเทศอินเดียเพื่อไปเยี่ยมเยียนครอบครัวบ้างเป็นบางครั้ง
ขั้นตอนการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ด้วยการสวมสิทธิ์จดทะเบียนสมรสโดยหวังจะได้สัญชาติไทยแบบถาวร ช่วยให้ชายชาวอินเดียผู้นี้อยู่ในเมืองไทยได้แบบถูกกฎหมาย แต่ถึงอย่างไรก็ยังโล่งใจได้ไม่เต็มร้อย เพราะในทุกๆ เดือน ยังต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อความสะดวกในการประกอบอาชีพ
“อาชีพขายผ้า ไม่ได้เป็นงานที่ผิดกฎหมาย ถึงอย่างไรก็ต้องจ่ายเดือนละ 2,000 บาท ให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่รู้การจ่ายเงินนั้นเพื่อแลกกับอะไร แต่ถ้าไม่จ่าย ผลลัพธ์คือจะโดนกลั่นแกล้งสารพัด ทั้งการข่มขู่หรือพาขึ้นโรงพัก มันเป็นสิ่งที่พวกชาวต่างชาติไม่อยากมีปัญหา ฉะนั้นการจ่ายเงินรายเดือนเพื่อแลกกับอิสรภาพ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด” นายรามซิงค์ กล่าวอ้าง
...
เปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย...แค่จ่ายเงิน!!
นอกจากนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ยังได้รับการเปิดเผยจาก ชายชาวต่างชาติชาวเนปาล ไม่ขอเปิดเผยนาม พร้อมกับเล่าถึงความยากลำบากในการขอวีซ่าเพื่ออยู่เมืองไทยให้ฟังว่า ก่อนจะเข้ามาอยู่เมืองไทย เคยเปิดธุรกิจขายของที่ประเทศโอมาน แต่เพราะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ทำให้ธุรกิจเสียหายทั้งหมด พอดีกับตอนนั้นรู้จักเพื่อนชาวไทยชักชวนให้มาทำงานที่ประเทศไทย จึงตัดสินใจหอบเงินเก็บก้อนสุดท้ายในชีวิต เพื่อมาแสวงหาโอกาสในสยามประเทศ
“ก่อนมาเมืองไทย เข้าใจมาตลอดว่าประเทศไทยเปิดกว้างให้ชาวต่างชาติสามารถมาทำงานในประเทศไทยได้ แต่เอาเข้าจริงแล้ว จนถึงวันนี้เป็นระยะเวลากว่า 4 เดือน ที่อยู่ในเมืองไทย ยังไม่สามารถหางานทำได้เลย ระเบียบการและขั้นตอนต่างๆ นั้นยุ่งยากและซับซ้อนจนยากที่จะปฏิบัติได้จริง”
เดือนแรกที่อยู่ในกรุงเทพฯ นอกจากจะวางแผนหางานทำแล้ว ยังต้องวางแผนที่จะเปลี่ยนประเภทวีซ่าให้ได้ด้วย เมื่อไปดูหลักเกณฑ์ในการขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าก็แทบจะถอดใจ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีรายละเอียดยิบย่อยหลายอย่างมาก แต่มีเพื่อนที่รู้จักกันแนะนำให้ไปทำผ่านบริษัท จะง่ายกว่าการไปทำที่ส่วนราชการ
...
ชายชาวเนปาล เล่าต่อว่า เป็นเรื่องแปลกมาก ที่กฎเกณฑ์แสนจะยุ่งยาก สามารถดำเนินการได้เรียบร้อย เพียงแค่จ่ายเงินให้กับบริษัท ในราคา 17,000 บาท เพื่อให้บริษัทออกเอกสารรับรองสำหรับการไปยื่นขอวีซ่าประเภทธุรกิจ เมื่อได้เอกสารครบแล้วก็เอาไปยื่นที่สถานกงสุลได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าต้องการเวิร์กเพอร์มิต ทางบริษัทดังกล่าวก็สามารถจัดหาให้ได้ไม่ยากเย็น แต่ก็ต้องแลกกับการจ่ายเงินเพิ่ม 15,000 บาท
นี่คือกรณีของคนที่เพิ่งเข้ามาเมืองไทยใหม่ๆ ที่พยายามจะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่สามารถทำได้ แต่อีกกรณีเป็นเรื่องของลูกพี่ลูกน้องจากชาติเดียวกัน ที่เปิดร้านขายของอยู่ในโรงแรมสุดหรูย่านสาทร
เปิดร้านค้ามา 3 ปี ต้องเดินทางกลับประเทศทุก 3 เดือน
หนุ่มเนปาลรายเดิม ยังเล่าถึงชะตากรรมของลูกพี่ลูกน้อง ที่เปิดร้านขายของในเมืองไทยมา 3 ปี แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเมืองไทย เขาจะต้องนั่งเครื่องบินกลับประเทศบ้านเกิด เพื่อต่ออายุวีซ่าทุกๆ 3 เดือน และที่ผ่านมา ก็ต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่เป็นรายอาทิตย์ อาทิตย์ละ 2,000 บาท
“ลองคิดดูสิ ขนาดคนที่มีกิจการร้านค้าตั้งอยู่ในโรงแรมชื่อดัง แต่ยังไม่สามารถขอวีซ่าเพื่อทำงานอย่างถูกต้องได้เลย”
...
การขอนุญาตต่างๆ นั้นยากมาก แต่เราก็จะเห็นร้านค้าที่เจ้าของเป็นชาวต่างชาติมากมายทั่วกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น ทั้งร้านจีน ร้านแขก หรือร้านของฝรั่ง ซึ่งหากจะทำให้ถูกต้องก็จำเป็นต้องยื่นจดทะเบียนเพื่อขออนุญาต
การจดทะเบียนเพื่อขอทำกิจการร้านค้า มีองค์ประกอบหนึ่งเป็นส่วนสำคัญ คือ ต้องมีลูกจ้างคนไทย ในอัตราส่วน 4 คน ต่อชาวต่างชาติ 1 คน และจะต้องมีเอกสารระบุตัวตนของคนไทยเหล่านั้น เช่น เลขบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ซึ่งสามารถให้นายหน้าช่วยหาได้ เมื่อมีครบก็สามารถไปยื่นขอเปิดร้านค้าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่...
“ทั้งๆ ที่ยื่นขออนุญาตแบบถูกต้องแล้ว แต่ก็ต้องยอมจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่อยู่ดี เพราะว่าเอกสารของลูกจ้างคนไทยนั้นหามาจากการซื้อขายผ่านนายหน้า แต่ความเป็นจริง ทางร้านไม่ได้มีลูกจ้างตามที่แจ้งไปเป็นตัวเป็นตน มีแต่เพียงรายชื่อที่ใช้ในการจดทะเบียน การที่ต้องจ่ายส่วยเป็นรายอาทิตย์ให้กับเจ้าหน้าที่นั้น เพื่อจะได้ไม่มีการมาตรวจค้น” ชาวต่างชาติกล่าวอ้างอย่างน่าสนใจ...
หางานไม่ง่าย...จ่ายตังค์สะดวกกว่า
แหล่งข่าวชาวไทยเคยพาเพื่อนชาวต่างชาติไปขอเอกสารรับรองจากบริษัท อธิบายว่าการไปขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าของชาวต่างชาติ ก่อนอื่นจะต้องมีบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 2,000,000 บาท จากนั้นบริษัทก็จะออกหนังสือรับรองต่างๆ ให้ จากนั้นก็เอาหนังสือรับรองไปยื่นขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าได้
“ฟังดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายอย่างที่คิด ส่วนมากชาวต่างชาติที่ได้ทำงานในบริษัท มักจะถูกส่งมาจากบริษัทแม่ในต่างประเทศ ส่วนการมาเดินวอล์กอินหางานตามบริษัทในเมืองไทยนั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ทำ”
เอกสารรับรองต่างๆ จากบริษัทนั้นหายากมากถ้าทำตามกฎเกณฑ์ แต่ถ้าไปติดต่อผ่านบริษัทก็จะสามารถหาเอกสารเหล่านั้นได้อย่างง่ายได้ พอได้เอกสารมาก็เอาไปยื่นที่สถานกงสุล เสียค่าธรรมเนียม 2,000 บาท เป็นอันเรียบร้อย เรื่องแบบนี้เป็นที่รู้กันของชาวต่างชาติ ขึ้นอยู่กับว่าจะไปทำที่บริษัทไหน ถ้าใครดวงซวย อาจจะไปเจอบริษัทที่ขูดรีดค่าจัดหาเอกสารแพงมหาโหด
ร้านที่ถนนพัฒนาการ มีเจ้าของเป็นชาวอิหร่าน มีเลขาฯ เป็นคนไทย ลักษณะเป็นอาคาร 3-4 ชั้น ด้านล่างถูกบังด้วยม่านสีขาว ร้านนี้หากจะไปติดต่อต้องมีการนัดหมายก่อนล่วงหน้า เพราะหน้าร้านจะปิดประตูตลอดเวลา ต้องให้คนข้างในพาเข้าเท่านั้น ซึ่งค่าบริการจัดหาเอกสารของร้านนี้ มีราคา 5-6 หมื่นบาท ถือว่าแพงมากเมื่อเทียบกับร้านอื่นที่ราคาจะอยู่ราวๆ 20,000 บาท และเชื่อว่าจะต้องมีชาวต่างชาติอีกหลายๆ คนที่จะต้องถูกบริษัทแห่งนี้ขูดรีด แหล่งข่าวชาวไทยกล่าว.