ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา “ไม่ใช่เรื่องอธิปไตยเท่านั้น” หากแต่ยังขยายตัวไปสู่การใช้มาตรการปิดด่านชายแดนของ 2 ประเทศ “เป็นเครื่องมือต่อรองทางเศรษฐกิจ” แม้ดูเหมือนเป็นการตอบโต้ระหว่างรัฐต่อรัฐแต่ผลกระทบกลับกำลังตก กับประชาชนโดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่พึ่งพาสินค้านำเข้าจากไทยเริ่มเผชิญภาวะขาดแคลนสินค้าจำเป็นส่งผลต่อคนกัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจใกล้ชิดไทยมาตลอด ภาวะนี้เริ่มสั่นคลอนเสถียรภาพการเมืองกัมพูชาโดย รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผอ.ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย บอกว่าการปลุกกระแสความเกลียดชังทางเชื้อชาติ “ก่อเกิดข้อพิพาทระหว่างไทย–กัมพูชา” นำไปสู่การปิดด่านชายแดนกระทบเศรษฐกิจ 2 ประเทศโดยเฉพาะการค้าชายแดน และการท่องเที่ยวที่ต่างพึ่งพาอาศัยกันแต่หากวิเคราะห์ “ไทยมีดุลเกินการค้ากับกัมพูชา” ด้วยการส่งออกสินค้ามากกว่านำเข้านั้นก็หมายความว่า “กัมพูชาพึ่งพาสินค้านำเข้าจากไทย” โดยเฉพาะสินค้าบริโภค อุปโภค และวัตถุดิบทางอุตสาหกรรมถ้าดูในช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 “ตัวเลขการส่งออกชายแดนไทย และกัมพูชาอยู่ที่ 50,225 ล้านบาท” แต่ปีที่แล้วทั้งปีอยู่ที่ 141,846 ล้านบาท โดยมูลค่ารวมส่งออก และนำเข้าอยู่ที่ 174,530 ล้านบาท หากความขัดแย้งยืดเยื้อเกิน 1 ปี อาจมีการโยกย้ายโรงงาน และสถานประกอบการออกจากพื้นที่ กระทบต่อการจ้างงานตามมา แน่นอนผลกระทบ “การปิดด่านชายแดน” ย่อมมีผลโดยตรงต่อกัมพูชาที่ไม่อาจนำเข้าสินค้าทดแทนจากประเทศอื่นได้จาก “ราคาต้นทุนสูงขึ้น” ขณะที่ฝ่ายไทยก็สูญเสียรายได้ในการส่งออกไปยังกัมพูชาบ้างแต่ไม่มากดังนั้น ไทยใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดันในประเด็นเกี่ยวข้องกับอธิปไตย “เป็นแนวทางสามารถดำเนินการได้” เพราะอยู่ในกรอบของสันติวิธีไม่ใช้ความรุนแรง และมีเป้าหมายปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ แล้วกรณีนี้ยังไม่ถือว่าเป็นการคว่ำบาตรหากแต่เป็นเพียงมาตรการขั้นต้น มีเป้าหมายสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อผลักดันให้รัฐบาลกัมพูชาทบทวน หรือปรับเปลี่ยนท่าที “เปิดโต๊ะเจรจาร่วมกัน” ก็ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อ 2 ประเทศโดยไม่จำเป็นต้องยกระดับการใช้มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีกแม้ในมุมเศรษฐกิจชายแดน “ตัวเลขมูลค่าการค้าไม่ชัด” แต่ผลกระทบย่อมมาตกอยู่กับประชาชนชายแดนที่พึ่งพาการค้าขาย และการเดินทาง ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทโดยตรง แต่ต้องเผชิญความเสียหายในเรื่องนี้รัฐบาลไทยควรมีมาตรการดูแลคนไทยที่รับผลกระทบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการหาตลาดใหม่ สนับสนุนผู้ค้ารายย่อยหรือเยียวยาทางเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น เช่น ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อประคับประคองธุรกิจช่วงวิกฤติเท่าที่สามารถช่วยได้ เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ผู้ก่อปัญหากลับต้องรับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม “การปิดด่านชายแดนไม่ควรยืดเยื้อมากเกินไป” เพราะยิ่งยาวนานเท่าไรก็ย่อมจะสร้างผลกระทบความเสียหายในวงกว้าง และอาจบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาวด้วยเหตุเพราะถ้าพิจารณาจะเห็นว่า “รัฐบาลกัมพูชา” กำลังใช้สถานการณ์กรณีความขัดแย้งเขตชายแดนไทย-กัมพูชา “เป็นเครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยม” เพื่อสร้างความชอบธรรมเสริมความนิยมให้รัฐบาลที่เผชิญแรงกดดันจากประชาชนต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจในประเทศจนกระทบต่อความเป็นอยู่มากมายทำให้คนกัมพูชาเดือดร้อนต่อ “การบริหารงานของรัฐบาลมากพอสมควร” ในสถานการณ์เช่นนี้รัฐบาลกัมพูชาจึงสร้างประเด็นความขัดแย้งพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชานำมาใช้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และระดมการสนับสนุนจากประชาชนผ่านกระแสชาตินิยมล้วนเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้นดังนั้น ไทยไม่ควรตกหลุมพรางสถานการณ์ถูกสร้างขึ้น “ตอบโต้ด้วยความรุนแรงหรือมีมาตรการทำให้บานปลาย” สิ่งที่ควรทำคือการรักษาความสงบ และยึดหลักการเจรจาเป็นสำคัญหากสามารถพูดคุยตกลงกันได้ตอกย้ำว่า “ระยะเวลาของมาตรการปิดด่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับไทยฝ่ายเดียว” แต่ขึ้นอยู่กับท่าทีของกัมพูชาด้วย แต่หากการปิดด่านนานก็ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ประชาชนก็ไม่พอใจรัฐบาลกัมพูชาที่อาจทบทวนท่าทีก็ได้ เพราะเขาหวังใช้ความขัดแย้งกับไทยปลุกกระแสชาตินิยม และสร้างคะแนนนิยมเท่านั้นเมื่อสถานการณ์กลับกลายเป็นการต่อต้านกระแสจากผลเสียทางเศรษฐกิจก็อาจมากดดันให้รัฐบาลต้องคลี่คลายสถานการณ์ “ลดแรงกดดันทางการเมืองภายใน” ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาอาจกลับมาทบทวนเปลี่ยนท่าที “เจรจากับไทย” เพราะในทางการเมืองกัมพูชาสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อ “ประชาชน 2 ประเทศ” จำเป็นต้องเจรจายึดแนวทางสันติวิธี เพราะการใช้กำลังเผชิญหน้าทางการทหารไม่ก่อให้เกิดผลดีใดๆ แถมสถานการณ์บานปลายกระทบต่อประชาชนในวงกว้างด้วย“อย่าลืมว่าประชาชนตามแนวชายแดน 2 ประเทศล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเหมือนครอบครัว และพวกเขามีวิถีชีวิตที่เกี่ยวเนื่องไปมาหาสู่พึ่งพาอาศัยเกื้อกูลกันมายาวนาน ดังนั้นการรักษาสันติภาพคือทางออกที่ดีที่สุด ไม่ควรให้ความขัดแย้งในระดับรัฐถูกปล่อยให้มาทำลายสายสัมพันธ์ในระดับประชาชน” รศ.ดร.อนุสรณ์ ว่าเช่นนี้มุมรัฐบาลไทยควรยึดแนวทางเจรจาสันติภาพ “ภายใต้กรอบอาเซียน” มุ่งแก้ปัญหาอย่างสันติไม่ใช้ความรุนแรง แม้ฝ่ายกัมพูชาพยายามยกระดับประเด็นสู่เวทีนานาชาติ เพื่อหวังผลทางการเมือง และกดดันไทยก็ตาม “ฝ่ายไทย” ไม่ควรหลงกล หรือตอบโต้ในลักษณะที่เป็นการขยายขอบเขตของความขัดแย้งออกไปอีก ในสถานการณ์นี้ “ไทยใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ” อย่างการปิดด่านชายแดนซึ่งส่งผลให้กัมพูชาบางส่วนได้รับผลกระทบ และออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลหันกลับมาใช้แนวทางเจรจา เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ถูกต้องแล้ว แม้ว่าไทยอาจจะสูญเสียรายได้ “รัฐบาล” ก็ต้องหาตลาดทดแทนใกล้เคียงสามารถค้าขายข้ามแดนได้ง่ายอย่างเช่น สปป.ลาวอันมีพรมแดนติดกับไทย และมีโครงสร้างการค้าชายแดนใกล้เคียงกัน อาจถูกใช้เป็นทางเลือกในการค้าทดแทน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย ขณะที่กัมพูชาจะได้รับผลกระทบหนักกว่า โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจพื้นฐาน “การยังชีพของคนบางส่วน” เพราะพึ่งพาสินค้านำเข้าจากไทยในสัดส่วนสูงฉะนั้น เมื่อการนำเข้าสินค้าถูกจำกัด “เกิดภาวะขาดแคลนและราคาสูงขึ้น” ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะกลายเป็นแรงกดดันนำไปสู่การเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชากลับมาเจรจายุติความขัดแย้งในที่สุด. คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม