คณะทำงานดีเอสไอ-อัยการ มีมติดำเนินคดีกราวรูด 7 ตำรวจจราจรกลาง ตั้งแต่รอง สว.ถึง ส.ต.ท. หลังก่อเหตุจับลูกตำรวจมาซ้อม เพราะเข้าใจผิดคิดว่าขับรถแหกด่าน มีความเห็นให้แจ้งข้อกล่าวหาตาม ม. 5 พ.ร.บ.อุ้มหายฯ โทษจำคุกสูงสุด 15 ปี ส่วนผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ระดับสารวัตร ผู้กำกับการ ไปจนถึง บช.น.รอดตัว เพราะดำเนินการทางวินัยและอาญากับตำรวจทั้งหมดแล้วคือให้ออกจากราชการไว้ก่อน

คณะทำงานดีเอสไอ-อัยการ คดีอุ้มหายมีความเห็นดำเนินคดี 7 ตำรวจจราจรกลาง อุ้มทำร้ายลูกชายตำรวจ เปิดเผยขึ้นที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 18 มิ.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 134/2567 กรณีนายธนานพ เกิดศรี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บก.จร. ทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส เหตุเข้าใจผิดว่าขับรถแหกด่านตรวจร่วมกับนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ฐานะหัวหน้าคณะทำงานกำกับ การสอบสวนคดีความผิดแห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ และนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยพนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอร่วมประชุมสรุปความคืบหน้าทางคดี พร้อมลงมติแจ้งข้อกล่าวหา

หลังประชุมนายวัชรินทร์กล่าวว่า ที่ประชุมพนักงานอัยการสำนักงานการสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ลงมติแจ้งข้อกล่าวหาตำรวจ บก.จร.ทั้ง 7 นาย ประกอบด้วย ยศ ร.ต.อ. 1 นาย ยศ ส.ต.อ. 5 นาย และ ยศ ส.ต.ท. 1 นาย ความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกัน และปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ มาตรา 5 ผู้ใด เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด เหตุเกิดจากตำรวจจับกุมผิดตัว เพราะเข้าใจผิดจนผู้เสียหายบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ จึงมีมติแจ้งข้อกล่าวหา นัดให้มารับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 9 ก.ค. เวลา 09.00 น.

...

“ก่อนมีมติลงความเห็นแจ้งข้อกล่าวหา คณะพนักงานสอบสวนประชุมพิจารณาทุกมาตราที่อยู่ในกฎหมายอุ้มหาย ไล่เรียงตั้งแต่ ม.5 เนื่องจากพบว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายต่อจิตใจ แต่เล็งเห็น ว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตาม ม.6 ส่วนกรณี ม.7 คือการจับกุมตัวแล้วไม่นำส่งพนักงานสอบสวนนั้น คณะพนักงานสอบสวนเห็นว่า ในการจับกุมมีน้องสาว ผู้เสียหายมาที่เกิดเหตุ และส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงไม่เป็นการมีเจตนาปกปิดชะตากรรมของผู้เสียหาย ไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตาม ม.7 ส่วนการแจ้งการ จับกุมตัวตาม ม.22 หรือที่เรียกว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น คณะพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ไม่มีการแจ้งการจับกุมตัวทันทีวันเกิดเหตุ แต่ตำรวจแจ้งการจับกุมตัวในภายหลัง จึงไม่ดำเนินคดีในส่วนมาตรานี้เช่นกัน” นายวัชรินทร์กล่าว

นายวัชรินทร์กล่าวอีกว่า ส่วน ม.42 เกี่ยวกับผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดตำรวจทั้ง 7 นาย ปรากฏข้อเท็จจริงว่า สายบังคับบัญชาจัดทำรายงานบอกกล่าวครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ชั้นสารวัตร ผู้กำกับการ ไปจนถึง ระดับ บช.น. และดำเนินการทางวินัยและทางอาญาแก่ตำรวจทั้งหมดแล้วคือ ให้ออกจากราชการไว้ก่อน จึงสรุปว่า ผู้บังคับบัญชาไม่ถูกดำเนินคดีตาม ม.42 สำหรับอัตราโทษของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามกฎหมายอุ้มหายซ้อมทรมาน ม.5 มีโทษ สูงสุดถึง 15 ปี ทั้งยังพิจารณาในส่วนของ ม.172 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 อย่างไรก็ดี หากสำนวนไปถึงชั้นศาล ผู้ต้องหาเจรจาไกล่เกลี่ยดูแลค่าเสียหายเยียวยาแก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้บรรเทาโทษได้หรือไม่นั้น จะเป็นดุลพินิจของศาลในอนาคต เพราะถ้าผู้เสียหายทำข้อตกลงรับเงินเยียวยา ศาลอาจดูเป็นเหตุบรรเทาโทษก็เป็นได้ แต่ทราบว่าผู้เสียหายยืนกรานว่าขอดำเนินคดีจนถึงที่สุด

“หลังจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 นายมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว จะเป็นสาเหตุให้ต้นสังกัดพิจารณาไล่ออกจากราชการหรือไม่ อันนี้เป็นส่วนของต้นสังกัดต้องดูในเรื่องความผิดวินัยร้ายแรง เมื่อเข้าสู่กระบวนการ แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ผู้ต้องหายังมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา รวมถึงอ้างพยานหลักฐานได้ เรารับฟังทั้งหมด แต่ถ้าหากพยานหลักฐานไม่มี ความชัดเจนและไม่สามารถใช้แก้ข้อกล่าวหาได้ คณะพนักงานสอบสวนจะสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ คดีปราบปรามการทุจริต จากนั้นพนักงานอัยการ จะสรุปสำนวนสั่งฟ้องไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางต่อไป” นายวัชรินทร์กล่าว

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่