วันเสาร์สบายๆวันนี้ ผมพาท่านผู้อ่านย้อนไปฟังการวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ  ผู้ว่าการแบงก์ชาติ กันนะครับ แม่นจริงๆ ก็ถูกต้องแล้วที่ คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง นัดหารือกับ ดร.เศรษฐพุฒิ ก่อนจะบินไปเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ “ผมกับแบงก์ชาติเห็นตรงกันว่า ตอนนี้เป็นเรื่องของความไม่แน่นอน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เป็นรูปแบบที่คาดเดาไม่ได้ หากต้องหยิบมาตรการขึ้นมาใช้ คงไม่มีใครบอกได้ว่าหยิบมาตรการไหนดี หลังจากวันนี้เราจะทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น เพื่อดูว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพื่อกำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขร่วมกัน”

ฟัง ขุนคลังพิชัย ให้สัมภาษณ์แล้ว ผมก็นึกถึง “คำเตือน” ของ ดร.เศรษฐพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ  ขึ้นมาทันที ซึ่งได้พูดเตือน มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ให้รัฐบาลเตรียมรับมือกับ “ความเสี่ยง”  ที่เป็น “ความไม่แน่นอน” ท่ามกลางกระแสกดดันของรัฐบาลที่บีบให้ผู้ว่าการแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย เพื่อหาเสียงทางการเมือง แต่ผู้ว่าการแบงก์ชาติไม่ยอม

วันนี้สถานการณ์ “ความไม่แน่นอนที่ยากจะคาดเดา” ได้เกิดขึ้นแล้วจากมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของ ประธานาธิบดีทรัมป์ ประเทศไทยโดนขึ้นภาษีไป 36% ดร.เศรษฐพุฒิ ได้พูดเตือนเรื่องนี้บนเวทีเสาวนาประจำปี Thailand Next Move 2025 ของ วารสารการเงินธนาคาร เมื่อ วันที่ 3 ธันวาคม 2567 ในหัวข้อ “Thailand Monetary and Financial Policy : Building Resiliency for an Uncertain World นโยบายการเงินของประเทศไทย การสร้างความยืดหยุ่นในการรับมือกับบริบทโลกที่ไม่แน่นอน”

ผมไปค้นจาก เว็บไซต์การเงินธนาคาร เลยขอนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งในวันเสาร์สบายๆวันนี้ ถ้า ดร.เศรษฐพุฒิ เป็นหมอดู ก็ต้องบอกว่า พยากรณ์ได้แม่นยำจริงๆ แต่กรณีนี้ต้องบอกว่า “วิเคราะห์เศรษฐกิจและสถานการณ์โลกได้แม่นมาก” ไปอ่านกันดูครับ

...

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ก่อนที่ทรัมป์จะรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯว่า ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะต้อง เจอกับทั้งความเสี่ยง (Risk) และความไม่แน่นอน (Uncertain) ที่คาดเดาได้ยาก  ทำให้การบริหารจัดการยากกว่าในอดีต “ความเสี่ยง (Risk)” คือสิ่งที่เรารู้ว่ามาจากไหน เช่น ราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่พอจะคาดการณ์ได้ แต่ “ความไม่แน่นอน (Uncertain)” เป็นสิ่งที่ระบุได้ยากว่ามาจากไหนบ้าง สิ่งที่จะเจอในปี 2568 คือ ความไม่แน่นอนสูง และมีผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึง แม้พอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผลที่เกิดจะมองได้ยากมาก

(ดังเช่นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถคาดเดาอารมณ์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกวันได้ จนถูกหาว่าเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย เอาแน่นอนไม่ได้)

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า ความไม่แน่นอนที่จะเห็นในปี 2568 เรื่องแรกก็คือ โลกจะแบ่งขั้วแยกกันมากขึ้น และยังดูไม่ออกว่า ในปี 2568 ผลจากการแบ่งขั้วจะมาเร็วและแรงเพียงใด  (มาเร็วและรุนแรงจริงๆ) โดยเฉพาะการกีดกันด้านเทคโนโลยี โลกที่แยกออกจากกัน แต่ Supply Chain ยังผูกกันค่อนข้างสูง ทำให้การค้าโลกจะได้รับผลกระทบจากการกีดกันทางการค้ามากขึ้น (วันนี้ก็เห็นแล้ว)

นโยบายเศรษฐกิจประเทศหลักจะไม่ดำเนินไปในทางเดียว แต่ละประเทศดำเนินการต่างกัน เพราะฟื้นได้ไม่เท่ากัน เช่น สหรัฐฯ เศรษฐกิจดูดี ตลาดทุนดูดี แต่รัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาไม่รู้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่จากที่พอดูออก เรื่องแรก คือ ภาษีนำเข้า ที่จะมีผลกระทบต่อการค้าขาย เรื่องที่สอง นโยบายลดภาษี อาจนำไปสู่การขาดดุลการคลังสหรัฐฯสูงขึ้น เรื่องที่สาม คือ การกวาดต้อนต่างชาติให้ออกจากสหรัฐฯ

ก็ย้อนให้ดูบางส่วนเท่านั้น การบริหารเศรษฐกิจประเทศ ต้องมีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้ง ต้องวิเคราะห์ปัญหาออก ไม่ใช่แจกเงินหาเสียงไปวันๆ.

"ลม เปลี่ยนทิศ"

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม